หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

วันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๗.๐๐ น.

ณ ห้องประชุมชั้น ๒๒

อาคารศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ

โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

น่าจะเอาสมเด็จใหญ่ๆ เป็นสมเด็จโน้นสมเด็จนี้มาแสดงธรรม คนจำนวนมากๆ อย่างนี้จะสมดุลกัน อันนี้ให้พระบ้านนอกมาแสดงให้ฟัง มันจะสมกับคนที่มาฟังหรือเปล่า ตั้งใจฟัง ไม่ได้ว่าอะไรหรอก ว่าเรื่องของคนนี่แหละ เรื่องของคนนี่มันวุ่นวายจริงๆ อยู่ปนเปกันหลายระดับ ระดับที่มีกิเลสหมดแล้ว ท่านก็สบาย ระดับที่มีกิเลสกวนอยู่ มันก็วุ่นวายอยู่อย่างงั้นนะเพิ่นนะ ทำให้วุ่นวาย สังคมวุ่นวาย การอยู่ร่วมกัน หาความสงบสุขไม่มี อย่างนี้ เพิ่นบอกไว้ว่า

 

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

 

อ่ะ เพิ่นบอกว่าอย่างงั้น ถ้าอยากทำความสุขเกิดมีขึ้น ก็ทำความสงบซะ เพิ่นว่าอย่างงั้นนะ ทำความสงบจิตสงบใจตัวเองซะ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรมากมายหรอก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ ของเหล่านี้มันเป็นของจรมาทีหลังหรอก ไม่ใช่เกิดมาพร้อมเรา จรมาทีหลัง ตาเห็นรูป มันก็จับเอามาใคร่ครวญ ตา หูได้ฟังเสียง ไพเราะหรือไม่ไพเราะ มันก็เอาเข้ามาใคร่ครวญ จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส กายได้ถูกต้องโผฏฐัพพะเหล่านั้นก็จับมาวิจัยกัน จนพอแรง จนหลง หลงตัวเอง ว่าตัวเองเป็นอันนั้น ว่าตัวเองเป็นคนโกรธ โลภ โกรธ หลง

เข้าใจว่าใจมันเป็น แต่ว่าใจตัวเองเป็น แท้ที่จริงไม่ใช่หรอก มันเก็บๆ มาสะสมในตัวของเราเอง ตัวของเราหาเก็บเอาอารมณ์ต่างๆ มาเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เกิดมีขึ้นมา พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ท่านก็รู้เรื่อง รู้เรื่องว่ากิเลสมันจรมาแต่ที่อื่น หลวงปู่มั่น(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) พูดบ่อยๆ

 

ไม้ซกงก ไม้หกพันง่า

(ต้นไม้สูงใหญ่มี ๖,๐๐๐ กิ่ง)

 

อ้า มันหลายปานไหน

 

ไม้ซกงก ไม้หกพันง่า

(ต้นไม้สูงใหญ่มี ๖,๐๐๐ กิ่ง)

 

อ้า มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ เนี่ยไม่สงบอยู่เนี่ย

 

ไม้ซกงกอยู่เนี่ย ขี้ปอมก่า มันแล่นขึ้นมื้อละฮ้อย

ขี้ปอมน้อยแล่นขึ้นมื้อละพัน ตัวใด๋มาบ่ทัน ก็ขึ้นนำคู่มื้อ

(ต้นไม้สูงใหญ่ กิ้งก่าวิ่งขึ้นวันละร้อย กิ้งก่าน้อยวิ่งขึ้นวันละพัน

ตัวไหนมาไม่ทัน ก็วิ่งขึ้นทุกวัน)

 

เพิ่นว่า นี่หลวงปู่มั่น(หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต) เพิ่นบอกคติธรรมให้แก่ลูกศิษย์ทั้งหลาย ฟัง เราไปจำเอาข่าวอันนั้นมา พิจารณาดู ก็เป็นอย่างที่ท่านว่า ความรักถ้าเกิดขึ้นก็เพราะ ตาเห็นรูป หูฟัง ฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะซะก่อน

 

หกพันง่าเนี่ย ขี้กะปอมก่า ขึ้นมื้อละฮ้อย

ขี้ปอมน้อยขึ้นมื้อ มื้อละพัน ตัวไหนมาบ่ทัน ก็ขึ้นนำคู่มื้อ

(๖,๐๐๐ กิ่ง กิ้งก่าวิ่งขึ้นวันละร้อย กิ้งก่าน้อยวิ่งขึ้นวันละพัน

ตัวไหนมาไม่ทัน ก็วิ่งขึ้นทุกวัน)

 

เออ นี่พวกเรา เอาทำยังไงจะกำจัดกิเลสอาสวะเหล่านี้ ให้มันหมดไปจากจิตสันดานของพวกเรา ทำยังไงจึงจะเอาชนะมันได้ มันวิ่งขึ้นอยู่ทุกวันๆ

 

มื้อละร้อย ขี้ปอมน้อยขึ้นมื้อละพัน ตัวไหนมาบ่ทัน ขึ้นนำคู่มื้อ

(วันละร้อย กิ้งก่าน้อยวิ่งขึ้นวันละพัน

ตัวไหนมาไม่ทัน ก็วิ่งขึ้นทุกวัน)

ท่านก็เลยสรุปให้ฟังว่า อ้า เอาเปรียบเทียบได้หลายอย่าง สนิมมันกินเหล็ก อย่างอื่นมันไม่กิน ไม้มันก็ไม่กิน อะไรมันก็ไม่กิน มันกินแต่เหล็ก โลหะทั้งหลายที่เป็นทอง เป็นเงินเป็นอะไรก็ดี เอาไปฝังไว้ในดิน ไม่หลายปี ไปขุดค้นขึ้นมาดู เหลือแต่ซากมัน สนิมกินหมดแล้ว เนื้อเหล็กที่แท้จริง เนื้อโลหะที่แท้จริงมันกินหมดแล้ว หลายปีดีดักแล้ว เอาเหล็กมาเคาะเหล็กกันเน้อ ถูออก หลุดออก โขลกๆๆๆ พอเน้อ เหลือน้อยเดียว ไปทำประโยชน์อะไรก็ไม่ได้

เพราะว่าทำเป็นเข็มก็ยังไม่ได้อีก เพราะว่าสนิมกินมันหมดแล้ว เนื้อเหล็กทั้งหลาย นี่จึงเอามาเปรียบเทียบกันดูสนิมมันกินเหล็กแต่กิเลสมันกินใจ ความโลภ ความโกรธ ความหลงมันกินใจ ราคะ โทสะ โมหะมันกินใจ ทำให้ใจเราหมดคุณภาพของมนุษย์ไป อย่างไม่มีวันต่อขึ้นมาได้ อ่ะ มันกินหมดแล้วทำไงปะเนี่ย ใจของเรามันหมด มันตกเป็นทาสของสังขารหมดแล้ว ทาสของความโลภ ทาสของความโกรธ ทาสของความหลง ทาสของ ของรัก ทาสของความชัง ทาสของความยินร้าย ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะเนี่ย เนี่ยเป็นทาสของมันทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น ใจของเรา จึงหมดคุณภาพจากมนุษย์ไป โดยไม่คืนมาได้ จะมาสร้างบารมีให้มันคืนมา เป็นมนุษย์สมบูรณ์มีศีลมีธรรมจริงๆ มีกินอะไร แนวอื่นมากินใจไม่ได้ ไม่ให้มันมากินใจได้ ความตระหนี่ถี่เหนียวก็ดี ความรักก็ดี ความชังก็ดี ราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี อย่าให้มันมากินใจเราได้เป็นอันขาด อ้า

เนี่ยนักปฏิบัติธรรม เพิ่นเอาอย่างงั้น เพิ่นเอาอย่างงั้น ตั้งปัญหาขึ้นแล้ว ก็เอามาแก้ไขตัวเอง ให้มันหลุดไปทีละหน่อยๆ น้อยๆๆ... กินเหล้า เมาสุรา ยาฝิ่น ยาเสพติดให้โทษ แท้ที่จริงมันก็เป็นสนิมกินเหล็กเนี่ย ลุยโดยตรงแหละ เหมือนกันกับสนิมกินเหล็ก กิเลสกินใจ ให้เข้าใจอย่างนี้นะ เออ มัน มันกิน มันกินใจ ความโลภกินใจ ความโกรธกินใจ ความหลงกินใจ ความรักกินใจ ความชัง อิจฉา ริษยา พยาบาทกินใจ มีแต่ทำให้ใจเรากร่อนทั้งนั้น ไม่ทำให้ใจเราเจริญเลย

ผู้ฉลาดเพิ่นจึงเอาข้ออรรถ ข้อธรรมเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับใจตัวเอง เอ้ มันหมดไปเลยยังไง ใจของเราแท้ๆ มันหมดไปจากใจมนุษย์ได้ยังไง กลายเป็นมนุษย์เดรัจฉาโน กลายเป็นมนุษย์เดรัจฉานไป อ้า ธรรม คุณธรรมของสมบัติมนุษย์สูงสุด ไม่เบียด ไม่เบียน ไม่กดขี่ข่มเหงผู้ใด แต่ว่าเมื่อกิเลสเหล่านั้นมาบังคับให้มันทำ มันก็เป็นไปตามอำนาจของมัน ความโลภมาบังคับ ให้โลภมันก็โลภไปตามมัน จนถึงกับไปปล้น ไปฆ่า ไปจี้ อ้า ฉกชิงวิ่งราวเอาของกันและกัน

กิเลสเหล่านั้นมันมีอำนาจเหนือจิต จิตเราไม่ได้สังวรระวัง มันก็เป็นของเขาหมด ความโลภเกิดขึ้น ก็เป็นใจของเราหมด ความโกรธเกิดขึ้น ก็เป็นใจของเราหมด อ้า ความหลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี หลงหาทั้งตาปี ไม่รู้เบื่อเชื่อตัณหา เหล่านี้ มันเรื่องหลงทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นพวกเราไม่ใช่คนหลงขนาดนั้น รู้เรื่องรู้ราวอยู่ อย่าให้มันมาบังคับพวกเราได้เลย ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ความรักก็ดี ความชังก็ดี ยินร้าย ยินดี ดีใจ เสียใจ ร้องไห้หัวเราะเหล่านี้มันเป็นกิเลส มันมาบังคับใจของเราให้กร่อนไป ให้ถอยจากความเป็นมนุษย์ลงไป กลายเป็นสัตว์เดรัจฉานลงไปนะ

จึงได้สรุปว่า อ้า สนิมมันกินเหล็ก ให้กินอย่างอื่นมันก็ไม่กิน กิเลสกินใจ สนิมกินเหล็ก กิเลสกินใจ ความโลภ มันทำให้ใจกร่อนไปจากคุณภาพของมนุษย์ ความโกรธก็เหมือนกัน หากความโลภ ความโกรธ เกิดขึ้นที่ใจ แต่มันก็กินใจของเราอีกล่ะเหมือนกันนะ กินใจของเราให้มันกร่อนไปจากความเป็นมนุษย์ลงไปเป็นสัตว์ร้าย เป็นสัตว์ป่าและไม่มีศีล ไม่มีธรรมอะไร ข่มเหงคะเนงร้าย กดขี่ข่มเหงเอา ถ้าไม่ให้ก็จะปืนยิงเอา จี้เอา เอามา จะเอา อ่ะนะ

บางรายถึงกับตายเพราะอำนาจของความโลภผู้อื่น ผู้อื่นมาบังคับบัญชา บีบหัวใจให้ไม่มีอำนาจอะไรเลย มาบีบเอา คั้นเอา ฆ่าเอา ตีเอา จี้เอา ปล้นเอาเหล่านี้ มันเกิดจากใจใช่ไหม เออ สนิมมันกินเหล็ก แต่กิเลสมันกินใจ เพราะฉะนั้น พวกเราต้องบากบั่นระมัดระวัง ให้ระมัดระวัง อย่าให้มันมากินใจเราเป็นอันขาด มีลูก มีผัว มีเมีย มีครอบครัว ถ้ากิเลสมันได้เกิดขึ้นที่ใจเรา มันจะบังคับ บังคับให้โลภ บังคับให้โกรธ บังคับให้ บังคับให้รัก บังคับให้ชัง บังคับให้ยินร้าย ยินดี ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ เหล่านี้ มีแต่กิเลสบังคับมันทั้งนั้น อืม ไม่ใช่ตัวของเราเองแท้ๆ มันถูกบังคับเรา ถูกบังคับเราให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ นั่นล่ะมันเป็น กิเลส คือ ความอยากขึ้นมาแล้ว มันกินอะไรล่ะอันนั้น เอาอะไรมาเป็นอาหารมัน ก็ความโลภ ความโกรธ ความหลง นั่นเหล่านั้นล่ะ มันมาเป็นอาหารของใจ อืม ถ้าอยากได้อะไรก็ทำไปตามมัน มันก็กินใจเรา กร่อนไปทีละน้อย ละน้อย เหมือนดังส.. สนิมกินเหล็ก เคยเปรียบให้ฟังว่า สนิม ถ้าเหล็กมันไปฝังอยู่ในดิน ไปถูกเกลือนั่นแหละ ไปถูกของเปรี้ยวๆ ส้มๆ ซะแหละ ถ้าเปรี้ยว ถ้าส้มไป ตกอยู่ในดินเป็นบ่อเกลืออยู่สักหน่อย กินหมด สนิมกินหมด

เรือทั้งลำ เขาเอาไปล่มลงในมหาสมุทร ไปล่มเรือ เรือคันนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว มันรั่วจนที่จะเยียวยาแล้ว เอาไปล่มลงในทะเลซะ ล่มลงในทะเลเพื่อประโยชน์อะไร เพื่อให้ปลามันได้เผยแพร่พันธุ์ของมัน อยู่ในเรือนั้นล่ะ เผยแพร่พันธุ์ของมัน กินอาหารที่เกิดจากเรือนั่นแหละ เป็นสาหร่าย เป็นอะไรเกิดขึ้นในเรือ เป็นพืชผักธัญญาหารอะไรมันเกิดขึ้นที่นั่น ที่เรือ อืม เป็นจอก เป็นแหน เป็นสาหร่ายทะเลก็ดี มันเกิดขึ้นที่เรือ อืม แต่ว่าปู ปลาก็ต้องอาศัย ของที่มันเกิดจากสนิมเหล็กนั่นแหละ อ้า แทะกิน อมกินอยู่อย่างงั้นแหละ แต่หนักๆ เข้าหลายๆ ปี มันก็เป็นดินไปหมด ไม่เหลือ อ้า

จึงเอามาเปรียบเทียบว่า สนิมมันกินเหล็ก กิเลสมันกินใจ กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันกินใจคน จนกลายเป็นไม่มีคุณภาพของคนเลย เขาจับเอาไปติดคุกติดตะราง แทนที่จะทรมานตนให้มันได้ กลับเนื้อกลับตัวออกมาเป็นคนดี ให้มันได้ กลับไปปล้นอยู่ในเรือนจำก็มี ไปจี้อยู่ในเรือนจำกันก็มี จี้เอา ฆ่าเอา ซึ่งข้าวของเขาอยู่ในเรือนจำก็มี อย่างนี้ เรียกว่ากิเลสมันกินใจ สนิมกินเหล็ก กิเลสมันกินใจ ทำให้คนทำชั่วได้ทุกอย่าง ฆ่าคนก็ได้ ปล้น ปล้นคนก็ได้ จี้ปล้นก็ได้ หนักๆ เข้าฆ่าได้ฮอด(ถึง)พ่อตัวเอง แม่ตัวเองก็ยังเป็น ฆ่าแม่ตัวเอง นี้ยัง ยังดี กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ อยู่ที่บ้าน บ้านสะเดา ต.. (พระธาตุ)ตาดทอง ที่ไหน ยโสธรนู้นล่ะ มันสามารถฆ่าแม่ของตัวได้ ฆ่าพ่อของตัวเองได้ ฆ่ามิตร ฆ่าสหายได้ กิเลสมันบังคับเอา จึงได้กล่าวย่อๆ ว่า สนิมกินเหล็ก กิเลสมันกินใจ กินใจคนให้หมดคุณภาพไป ไม่มีคุณภาพเป็นของน่ากราบน่าไหว้เลย เป็นกิเลสหมดทั้งตัว

ก่อน ไปเป็นนักปล้น ไปเป็นนักจี้เขา ฆ่าเขาอุตลุด ลักฉกจกฉ้อก็พอแรงแล้ว ถ้าเขาไม่ให้ก็ฆ่าเอาทำนองนี้ นั่นแหละเรียกว่า กิเลส มันได้ใหญ่กว่าใจแล้ว เนี่ยมันกินใจเรา ความโลภมันใหญ่กว่า ความโกรธมันใหญ่กว่า ความอาฆาตมาดร้าย มันใหญ่กว่าใจ บังคับมันไม่อยู่ นั่นล่ะมันกินใจเราให้มันหมดคุณภาพของใจมนุษย์ ที่มีเมตตากรุณาต่อผู้อื่น เต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แต่กิเลสได้กินไปแล้วกินนิด กินวันละนิด กินวันละหน่อย ก็เลยหัวใจที่เมตตากรุณาก็เลยหมดไป หมดไป หมดไป มีแต่ความอิจฉา ริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร จองกรรมขึ้นมาแทนที่

ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย ท่านจึงยึดอำนาจมัน อืม ด้วยธรรม สร้างสติ สร้างสติให้มันแก่กล้าขึ้น เออ สร้างศรัทธาให้มันใหญ่โตขึ้น ใหญ่กว่ากิเลสเหล่านั้น จนมันจะมาบังคับเรา ให้ทำอย่างนั้นอีกไม่ได้ มาบังคับไม่ได้ รู้หน้ารู้ตามันแล้ว โอ้ย แกจะพาข้าไปนรกเหรอ แกจะพาข้าไปที่ตะรางเหรอ แกจึงมาชวนข้าให้ทำอย่างงี้ๆ อ้า รู้หมด รู้เท่าเอาทัน ถ้ารู้ไม่ทัน รู้ไม่ทันเอาครึ่ง รู้ไม่ถึงมันเอาหมด เพื่อนกินเพื่อนกัน เพื่อนรู้ไม่ทัน เพื่อนกันเอาไปกิน น่ะ

ไอ้พวกเนี่ย มันมาตีสนิทแน่น ทำตัวคุ้นเคย ทำตีสนิทแน่น ทำตัวเป็นเพื่อน อ้า ต่อไปต่อมามันก็ยึดอำนาจเรา พาไปตามความโกรธ ความโลภ ความหลงของตัวไปหมด เป็นเราไปหมด สามารถไปปล้นคนโน้น ไปปล้นคนนี้ ไปฆ่าคนนั้นคนนี้ ไปฉกไปลักเอาสิ่งของของคนนู้น โน้นคนนี้ อ้า มันเป็นอำนาจของเราไปหมดแล้ว มันยึดอำนาจของเรา มันจูงจมูกเราไปแล้ว อ้า

เพราะฉะนั้นทางศาสนา เพิ่นจึงเตือนให้พระภิกษุสามเณร ให้มาฆ่ากิเลสให้มันตาย คายกิเลสให้มันหลุด ให้ได้วิมุตติ มรรคผล นิพพานขึ้นในตัวของตัว ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล สกิทาคา(มี) อนาคา(มี) อรหันต์ ท่านทรมานมันได้แล้ว มันไม่ไปจูงจมูกท่านได้แล้ว ท่านจึงไปสายนั้นได้ ถ้ามันจูงไปได้ มันก็เอาไปตามอำนาจของมันเอา อ้า อยู่อย่างงี้มันไม่สนุกเว้ย สึกไปดีกว่า อืม สึกไปหา กินเหล้าเมามายไปหาฉก หาลัก หาหมู่ หาพวก เป็นโจรผู้ร้าย ในศาสนาก็มี นอกศาสนาก็มี เพราะฉะนั้นจึงขอเตือนว่า ของมันเกิดกับเราแต่มันกินเรา กิเลสมันเกิดจากเรา แต่มันกินใจเรา ให้หมดคุณภาพของมนุษย์ไป

กลายเป็นโจร เป็นผู้ร้าย เป็นคนหัวไม้ หัวแข็ง เออ แม้กำนันผู้ใหญ่บ้านก็เอาไม่อยู่ แม้ตำรวจทหารปราบปรามไม่อยู่ ก็เอาไม่อยู่ เป็นขึ้นมาจนได้ เพราะว่ากิเลสของตัวเองนั่นแหละ ไปติดคุก ติดตะรางแทนที่จะยอมจำนนซะโดยดี ถึงจะไปก่อกวนอยู่ในห้องขัง ก่อกวน ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก ไปเข้าหมู่ไหน ก็เป็นนก ๒ หัวขึ้นมา ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก ตอกลิ่มเข้าไป หึหึ อ้า

เคยเห็นไหม เขาผ่าฟืน เขาผ่าฟืน เอาขวานผ่า มันหยาบเหลือเกิน แต่สับหัวมัน พอให้แยกๆ หน่อย แล้วก็เอาลิ่มตอกเข้าไป ตีเข้าไปๆๆ ไม่ถอนสักที ตีเข้าไปๆ มันก็แยกออกเป็น ๒ เสี่ยง ๒ เสี่ยง ๓ เสี่ยง ๔ เสี่ยง ๕ เสี่ยง เขาเอาลิ่มตอกเอา มัน มันสด มันสน(เหนียว)จนเกินไป ตอกไม่ไหว เพราะฉะนั้นพวกเราเป็นมนุษย์ เราเป็นคน พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องธรรมะไว้ในหัวใจของเรา ให้มันเป็นคนผู้มีศีลมีธรรม มีเมตตา กรุณา มีมุทิตา อุเบกขาอยู่ในหัวใจของเรา ให้มันใหญ่กว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลาย เราก็ได้เป็นใหญ่กว่ากิเลสทั้งหลาย อ้า ไม่ ไม่ใช่กิเลสเป็นใหญ่กว่าใจ

 

ใจเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดกว่ากิเลส อย่าให้กิเลสย่ำยีเราได้ อ้า ให้ นี่ฝากให้คิดหรอก ฝากให้คิดฆ่าเวลา เราเสียเวลาอันมีค่าของเรามา ให้รู้จักคุณค่านี้ ตัวของเราเองเป็นตัวของเราเอง อย่าให้ผู้อื่นมาบังคับเรา อย่าให้กิเลสมาบังคับเรา อย่าให้ความโลภมาบังคับเรา อย่าให้ความโกรธแล้ว ออกอิจฉาริษยาผู้อื่นเขา ก็เราเป็นคนอดเอง มิใช่มีคนบังคับเราหรอก แต่ว่ามันเป็นเองของมัน กิเลสมันอยู่ในใจของเรามันบังคับเราเอง

เพราะฉะนั้นทุกคนมีเหมือนกัน มีกิเลสเหมือนกัน อย่าให้มันมาเป็นใหญ่กว่าใจเราเลย ความโลภอย่ามาเป็นใหญ่กว่าเรา ความโกรธอย่ามาเป็นใหญ่กว่าเรา ความหลงอย่ามาเป็นใหญ่กว่าเรา ความรัก ความชัง ความยินร้าย ยินดี ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะเหล่านั้น มันไม่ยั่วยวนชวนให้เราแตก ใจแตกไปตามมัน ถ้ามันยั่วได้แล้ว มันก็ตบมือ โอ้ย ตบมือมา มาฝ่ายเราแล้ว (หัวเราะ) สบายแล้ว มันมาฝ่ายเราหมดแล้วนะ ความโลภมันยุไปได้แล้ว ความโกรธมันยุไปได้แล้ว ความหลงมันยุเราไปตามมันได้แล้ว มันก็นั่งตบมือเอา ตบเอา ตบมือว่าเราได้ชัยชนะ เออ

เพราะเราโง่ เราไม่มีปัญญา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รู้เท่าเอาครึ่ง รู้ไม่ถึงเอาหมด มันมาเป็นเพื่อนเราซะก่อน กิเลสทั้งหลายมันมาตีสนิทแน่น ทำตัวคุ้นเคยกันซะก่อน ตีสนิทคุ้นเคยแล้ววันละเล็กวันละน้อย ต่อไปได้เป็นของเขาหมด เขายึดได้หมดทุกอย่าง เป็นขี้ข้าเขาหมดทุกอย่าง อ้า ที่มันมาตีสนิทแน่น ทำตัวคุ้นเคย อ้า ให้คุ้นเคยเข้ามา จะฆ่าทีหลัง ฆ่าเราทีหลัง กิเลสมันฆ่าเราเอง อ้า ทีแรกมันมาน้อยๆ หรอก ต่อไปต่อมามันมีอำนาจมากขึ้น มากขึ้น

 

อันนั้นก็ลุอำนาจแก่มันไปแล้ว อันนี้ก็ลุอำนาจแก่มันไปแล้ว ต่อไปมาก็ไปยึดรัฐประหารซะล่ะ แกอย่ากระดุกกระดิกเว้ย เออ ฉันจะฆ่าแก เออ อ้า กิเลสมันว่านะ แกอยู่ใต้อำนาจของข้าแล้ว ฉันจะฆ่าแกเมื่อไหร่ สบายบรื๋อมาก เชือดคอก็ได้ เอาปืนยิงก็ได้ เอาค้อน ตะพดตีหัวก็ตายซะล่ะ แกอยู่ใต้อำนาจของข้าแล้ว อ้า มันเป็นอย่างงั้น

เหมือนกันล่ะพวกเราทุกคนมีประจำตัว มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง มีความรัก มีความชัง มีความอิจฉา มีความริษยา อาฆาตมาดร้าย มันอยู่ในหัวใจเราหมด ถ้ามันยึดอำนาจเราได้ เรา เราก็เป็นขี้ข้าเขา ขี้ข้าอยู่ใต้อำนาจเขาหมด อ้า มันจะสั่งงานอะไร ได้หมดทุกอย่าง อ้า อืม พอมันยึดอำนาจได้แล้ว อ้า อำนาจอธิปไตยใหญ่ยิ่ง ของอยู่ในตัวของเรานี่แหละ ใหญ่กว่าเราเสียอีก อ้า อะ อะ อำนาจอธิปไตยใหญ่ยิ่ง อยู่ที่ตัวของเรา ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ราคะก็ดี โทสะก็ดี มันอยู่ในตัวของเรา เออ

มันทำให้สามีภรรยา หัวร้างข้างแตกมาเป็นจำนวนมากแล้ว ฆ่ากัน ตีกัน อ้า ไม่ฟังคำกัน โมโหโกรธา ไม่มีความอดกลั้นทนทาน ลุอำนาจแก่ความโกรธ ก็ฆ่ากันได้ ลุอำนาจแก่ความโลภ ก็ฆ่ากันได้ ความอิจฉา ริษยา พยาบาทมันมีอำนาจทั้งนั่นแหละ เราจะเอาตามมันหรือเปล่า อ้า ไม่เอา ไม่เอา ก็อย่าไปทำตามมัน อย่ามา อย่ามาแหย่ อ้า

เวลาเสือหลับอย่ามาแหย่ เออ ให้เขาหลับสบายซะ กิเลสทั้งหลาย เอ้ย เราเชื่อแกมากัปชาติแล้ว แก่กิเลส ชิดเชื้อกิเลสมาทำบาปทำกรรมมากี่ชาติแล้ว หลายชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ นับไม่ถ้วน ทำไปตามอำนาจกิเลสทั้งนั่นแหละ

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ท่านเมตตาสัตว์โลก ท่านจึงวาง อ้า ระเบียบวินัยไว้ให้แก่ พวกสัตว์โลกทั้งหลายได้รู้ รู้จักเข้าใจ ให้สั่ง(สม)เมตตา กรุณา มุทิตา ขึ้นในหัวใจของตัว อย่าให้ความโลภ ความโกรธมา อ้า ขึ้นมีในหัวใจของเรา เราก็ฆ่ากิเลสได้ ก็ให้ตาย ราคะ โทสะ โมหะ มันก็ตายไป ตายไปทีละน้อยๆ เราก็มีอำนาจเต็มที่ มีสติสตัง รู้ตัวอยู่เต็มที่ ทำอย่างนี้มันผิด ทำอย่างนี้มันถูก รู้จักเหตุผลไปในตัว เราก็เลือกเอาแต่สิ่งที่ดีๆ ใส่ตัว เราก็เป็นผู้เจริญเท่านั้นเอง เป็นนักภาวนาไปทะเลาะกันอยู่ในป่าก็มี นักภาวนาขี้ปะติ๋วอะไร ถึงเป็นอย่างนั้น ถึงฆ่ากันตีกัน อ้า ขนาดนั้น เป็นนักภาวนาตอแหล ตอแหล ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก มันยุเรา อย่าไปฟังคำมันนะ เออ

สามีภรรยาแสนที่จะรักกัน มันยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกออกจากกัน ไปอยู่คนละบ้านคนละช่องไป หาเมียใหม่ หาผัวใหม่ทำนองนี้ มันยุ มันยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก มันแยกให้ออก หึ ตอกลิ่มเข้าไปมันเป็นแตกออกจากกัน แล้วกลับคืนต่อกันอีกไม่ได้แล้ว อ้า สบายเขาไหมล่ะ มันก็ไปนั่งตบมือ หัวเราะเราอยู่ทางอื่นแล้ว อ่ะ ไปยุให้รำ ตำให้รั่ว นั่งหัวเราะเราอยู่โน้น สาใจแล้วๆ เรายุให้ได้ อ้า ให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก ได้ตามความประสงค์เราแล้ว มันเป็นอย่างนี้เรื่องกิเลส ยุคน ให้ยุ ให้แตก อ้า

ก็เพราะที่เกิดสงครามกันในแต่ละประเทศ ก็เพราะยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก นั่นเอง มันมีแผน แผนการยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก มีแผนก่อกวน ความสงบ ให้เกิดมีในประเทศนั้น ต่อไปเราก็ยึดอำนาจได้ เพราะเขายุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก ได้แล้วมาเป็นฝ่ายของเราแล้ว ก็ง่ายนิดเดียว สนเขา สนจมูกได้แล้ว สนจมูกได้แล้วก็ถูกเขาจูงไปจ้อย (หัวเราะ) นั่น เออ เหมือนกันแหละ

เราเป็นมนุษย์ มีอิสรภาพ เสรีภาพเต็มที่ อย่าให้คนอื่นมายุให้รำ ตำให้รั่ว มายั่วให้เราแตกแยก สามีภรรยา เพื่อน สหาย เออ ทำงานด้วยกันอยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกันแล้วก็มายุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก แตกวง อ้า มันเป็นวง เป็นวงของมัน เนี่ยวงเหล้าก็มี วงการพนันก็มี วงอะไรต่อมีทั้งนั่นแหละ อืม แต่ละวงละวง มันยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก เข้าใจไหม เออ อ้า ถ้าไม่เข้าใจก็เรียนใหม่ซะก่อน อ้า ยิ้มสิ เขามายุให้รำ ตำให้รั่วอย่างงั้น ยิ้มฟัง ยิ้มฟังไม่ไปตามมัน โอ้ คนคนนี้ก็โง่ถึงขนาดนี้เน้อ ถูกเขายุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตกกันได้ขนาดนี้ คนมันก็โง่ขนาดนี้เหรอ อ้า เราจักไม่โง่อย่างเขานี้ ไม่ฟัง เขาจะยุยังไงเราก็ไม่ฟัง ดันของเราอย่างที่ถูก อะไรมันถูกมันต้อง เราจะดัน ดันอย่างเดียว ดันในทางที่ถูกไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าดันในทางที่ผิดก็แล้วกัน อ้า ให้ดันของที่ถูก อ้า

เพราะฉะนั้น เรื่องเราจะเอา.. เอาชนะข้าศึกคือกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง ความยินร้าย ยินดี ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ มันยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก มาหลายสมัยแล้ว เออ แต่สมัยต่อไปนี้ เราก็ได้รับการศึกษาสูงอยู่แล้ว เรายังจะเอาของเหล่านั้นมาเป็นเครื่องมือของเราอยู่หรือ เออ

เพราะฉะนั้นท่านจึงปลุกระดมมวลชน ให้ต่อสู้กับกิเลส ด้วยวิธีปฏิบัติธรรมต่างๆ นานา ในประเทศไทยเนี่ย มีสำนักหลายสำนัก ที่จะปลุกระดมให้ไปในทางที่ดี ที่ชอบ ที่ถูก ที่ควร ครูบาอาจารย์ตายไปแล้ว หลายสิบองค์แล้ว หลายล่ะนั่น ท่านเป็นคนปลุกระดมมวลชนเหมือนกัน ทำให้เอาชนะกิเลสให้จนได้ ในที่สุดท่านก็ตายเสียเอง ท่านหมดกิเลสหรือยัง เออ ท่านยังไม่ได้หมดกิเลสเลย เราตายเสียก่อน เออ อย่างงี้ กำลังเป็นนักต่อต้านกิเลส กำลังจะไปสั่งสอนญาติโยมให้ฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสให้ตาย ฆ่าความโลภ ความโกรธ ความหลง ฆ่าราคะ ฆ่าโทสะ ฆ่าโมหะ ฆ่าลงไปให้มันเรียบราบ ไม่ให้มีมารบกวนบ้านเมืองเรา ก็ตัวของเราเอง อ่ะ เป็นข้าศึก ข้าศึกที่ก่อกวนอยู่ในโลกนี้ ไม่มีใครมาก่อกวนหรอก คนอยู่ใกล้ๆ กันนั่นแหละ ทะเลาะกันอยู่ทุกวันนะ สามี ภรรยา เพื่อนฝูงร่วม ร่วมงานกัน เหล่านั้น กับมันก็ไม่พอใจ ไม่กินเส้นกันล่ะ ก็ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก เพราะฉะนั้นไม่เอา ไม่เอา เราไม่ออกกับใคร ไม่เข้ากับใครหรอก ถ้ามันไม่ถูกเราไม่เอา เออ ใครจะทำไมหา ถ้าไม่พอใจ เอาเราไปฆ่าก็ตาม เอาฆ่าซะ อยากฆ่า ฆ่าซะ เออ เขาอยากฆ่า ฆ่าซะ เห็นว่าขัดคอเขา อืม เขาจะฆ่าเรา เอ้า ฆ่าก็ฆ่าสิ อ้า เราจะว่าอะไร อ้า มัน ไหนๆ มันก็จะตายอยู่แล้ว อ้า กิเลสมันหุ้มตัวอยู่แล้ว ให้มันตายหนีจากกิเลสซะก็ได้ เด็ดขาดลงไป

เหมือนดังพระอานนท์ถาม อ้า สามเณรน้อย ถ้าเขาด่าเธอ เธอจะว่ายังไงล่ะ เออ เขาด่าเฉยๆ หรอก ก็รับ เออ บ้านข้าน้อยเป็นบ้านมิจฉาทิฐิ อ้า มีแต่คนมิจฉาทิฐิเป็นจำนวนมาก ถ้าเขาด่าเธอ เธอจะว่ายังไง ด่าเฉยๆ หรอก เขาไม่ตี ถ้าเขาตีเธอ อ้า ดีเสียอีก ข้า ข้า ข้าพเจ้ายังไม่ได้ตีเขา เขาตีเสียเอง ถ้าฆ่าทำให้เธอตาย วิเศษมากพระเจ้าค่ะ เออ ขอรับ ครูบาอาจารย์ วิเศษมาก ถ้าเขาทำให้เราตายได้ เพราะว่าเกิดขึ้นมามันสู้กับโลก มาสู้กับร้อน สู้กับหนาว สู้กับเวียก(งาน) กับงาน กับการ กับทำมาหากิน มากมายก่ายเกิน พะเนินเทินทึก ถ้าเขาฆ่าเรา ให้หมดธุระในเรื่องทำมาหากินซะแล้ว วิเศษมากพระเจ้าค่ะ เพิ่น เพิ่น เพิ่นก็บอกว่าเธอไปได้แล้ว เธอไปเยี่ยมบ้านเธอได้แล้ว ปุณณะ ชื่อว่าสามเณรปุณณะ ว่าไงเน้อ ลูกนางมันตาลี ตานีบุตร อ้า ลูกนางมันตานี เรียกว่าบุตรมันตานีบุตร น่ะ ชื่อว่า ฉายาปุณณมันตานีบุตร นี่ตอบกับพระอรหันต์ตอบอย่างงั้น

อรหันต์ถาม ถามว่าเธอไปเยี่ยมบ้านเก่าของเธอมีแต่มิจฉาทิฐิเธอจะทำยังไง ข้าพระบาทก็ถือว่า ข้าพเจ้าก็ถือว่า เขาด่าเฉยๆ หรอก เขาไม่ทำอะไรหรอก อืม ไม่เสียหายอะไร ถ้าเขาประหารเธอล่ะ ตีเธอล่ะ

ก็ดี ดีเสียอีก เราไม่ทะเลาะกับใคร เขาตีเราเท่านั้น ถือว่าตีเราเท่านั้น ไม่ทำให้ตาย ถ้าเธอ เขาทำให้เธอตาย วิเศษมาก ขอรับท่าน วิเศษมาก

เพราะว่าคนเกิดมาในโลก มีทุกข์ประจำตัวมากมาย ทุกข์เพราะทำมาหากิน ทุกข์เพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์เพราะริ้นกัดยุงกินทุกอย่าง อันนี้เขามาทำให้ตายแล้ว ไม่ต้องเป็นทุกข์ในเรื่องอันนั้น วิเศษมากพระเจ้าข้า ขอรับอ่ะน่ะ เออ

เธอไปได้แล้ว เธอไปได้ ไปบ้านเก่าเธอได้ ไปเยี่ยมบ้านเก่าเธอได้แน่ ท่านถามกันอย่างงี้ ได้ความจริงออกมาอย่าง เออ พระอรหันต์ท่านตอบกัน เป็นพระอรหันต์นะไม่ใช่.. สามเณร ปุณณะ ไม่ใช่ธรรมดา เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยเจ้าตอบ เออ พระอรหันต์ถาม พระโมคลาหรือพระสารีบุตรถาม เธอจะไปอยู่ได้ยังไง บ้านของเธอเป็นบ้านมิจฉาทิฐิมากมหาศาล ถ้าเขาด่าเธอจะทำยังไง เออ แก้ออกไป ก็ดี เขาด่าเฉยๆ หรอก เขาไม่ทำลาย ถ้าเขาทำลายเธอล่ะ เออ ดี ดีกว่าเขาทำให้ตาย เออ ถ้าเขาฆ่าเธอจน จนตาย วิเศษมาก พระเจ้าข้า ครับ วิเศษมากครับอ่ะน่ะ เพราะคนเรามีทุกข์อยู่ในร่างกาย อยากจะตายมันก็ไม่ตาย มันมีคนอื่นมาทำให้เราตายเสียเอง วิเศษมากครับ เออ จะถือว่าวิเศษมาก คนอยากตายก็ต้องไปผูกคอตายก็มี ไปฆ่าตัวเองตายก็มี ไปโดดเหวก็มี ไปขึ้นต้นไม้โดดลงมาก็มีให้ตัวเองตาย อันนี้เราไม่ได้หาวิธีอย่างนั้น เขามาทำให้เราตายเอง ก็ถือว่าวิเศษมาก พระเจ้า ครับ อืม แน่ะ มัน มันไม่เจ้าข้าหรอก ถ้าพระพุทธเจ้าถาม ก็จักแต่ว่า พระเจ้าข้า จะว่า เออ เพิ่นก็ตอบว่า ปุญณะ เธอไปได้ๆ เธอไปบ้านของเธอได้ อืม ต้องเป็นคนชนะกิเลสได้แน่นอน อืม

งานของเรายังมีอยู่อีกนะ ถ้าพูดไปมากก็มากไป ธรรมะเป็นอย่างงี้ เราทุกคนที่นั่งประชุมนุมกันอยู่ที่นี่ มีกิเลสมากที่สุดก็มี มีกิเลสพอปานกลางก็มี มีกิเลสเบาแล้วที่สุดก็มี อ้า แล้วแต่ผู้ที่สำรอกจิตใจของตัวเอง ให้เบา ให้เป็นคนเบาคนบางขึ้นมาได้ คนเบานะเรียกว่า คนบุญ คนมีบุญ จึงเบาจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลงไป เป็นคนมีบุญแล้ว ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจนให้เป็นคนเบา คนบาง คนมีบุญใหญ่ขึ้นมา เออ มันก็จะไปพระนิพพานได้นะ บุญมี บุญหลาย ตัวเบาแล้ว ไปได้ พอนี้กลับบ้านได้ อาจจะไปได้นิพพานทั้งดิบก็ได้นะ เออ

เหาะไปเลย หนีไปเลย เหาะไปเลย แวบไปเลย อืม นั่นของมันตัวเบาหมดแล้ว ไม่มีอะไรหนักหนาสาโหดในร่างกาย กิเลสก็เบา ความโลภก็เบา ความโกรธก็เบา ความหลงก็เบา ความรักก็เบา ความชัง ความอิจฉาริษยาก็เบา เบาไปหมดทุกอย่าง เบา เป็นคนเบา เป็นคนเลี้ยงง่ายด้วย เบาด้วย อืม จิตเบา ใจเบา ไม่มีกิเลส ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เป็นคนเบาคนบางแล้ว ควรจะไปพระนิพพานได้แล้ว เออ ทำหนักๆ เข้าให้จิตมันหลุดจากอาสวกิเลสทั้งมวลซะ ให้มันไปพระนิพพานได้

ดังตำราเพิ่นบอกไว้นั้น อันนี้พูดตามตำราหรอก ตามตำรามันบอกไว้อย่างงั้น ให้ถึงความเบา ทำอะไรให้ถึงความเบาความบาง เออ มันไม่เบาในที่นี่ มันหนักอยู่เนี่ย อ้า แม้แต่จะเดินจะเหิน เดินไปแต่ตัวก็ไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็นไป หนักไหม หนัก คนเข็นก็ลำบาก เออ คนพยุงขึ้นบันไดบันเดย ก็ลำบากอีก อืม ลำบากทุกอย่าง เออ มันเป็นอย่างนี้ขันธ์ ธาตุมันเป็นอย่างงี้ แก่ลงๆ มันหนักลงๆ ขันธ์ ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระอันหนัก

 

ภารา หะเว ปัญจักขันธา

ภาระหาโร จะ ปุคคะโล

ภาราทานัง ทุกขัง โลเก

 

เห็นแหม่ เป็นของทุกข์ในโลก มันหนักเข้าๆ เป็นของทุกข์ในโลก เพราะฉะนั้นจงทำให้มันสิ้นไปซะนะ พวกเราทั้งหลายตื่นจากอาสวกิเลสซะให้มันหมดใน.. การครองชีพของเรา การทำมาหากินของเราให้มันหมดไปๆ อยากให้มันเบาไปๆ สบาย เออ

ท่านก็ยังว่า หลวงปู่นั่นมีภาระเบาแล้วเหรอ ไม่ใช่ ไม่เบา ไม่หมด ไม่หมด มีของหนักๆ เออ เอามาใส่เรามากมายอยู่ มากมาย เดี๋ยวก็สร้างอันนั้น เดี๋ยวก็สร้างอันนี้ขึ้นมา ถ้าไม่สร้างมันก็ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย อ้า ต้องดูแลมัน กุฏิกุต่างมัน ปลวกกินหรือเปล่า เออ มันเสามันขาดหรือเปล่า มันรั่วหรือเปล่า หลังคามันรั่วหรือเปล่า

เหล่านี้ต้องดูแลมัน อ้า แต่ว่าดูแลอย่างมีปัญญา มีปัญญา อย่าให้มันหนัก ทำให้มันเบา ทำให้มันเบา ให้มันเบาๆ บางๆ อ้า มีวิธีทำอยู่ ทำให้มันเบามันบาง เออ หาแนวแลกไม้ แนวเปลี่ยนให้เขา เขาชอบใจเขาก็เอา อ้า เขาก็เปลี่ยนเอา เอาของเขานั่นล่ะมาซ่อม มาซ่อมกุฏิกุสร้าง ที่อยู่ที่อาศัยเอาของเขาที่เขามาแลก เอาของของเราล่ะ เอามา สร้างกุฏิกุต่าง อ้า ที่อยู่ที่อาศัย หลังคามันรั่วมันก็จะหายไป อ้า พื้นมันทะลุมันก็จะหายไป ปลวกกินเสามันก็หมด อ้า มัน มันก็จะหายไป

มีปัญญาหาหนทางแก้ไข ต่อไปทำเป็นเสาไม้มาฝังดิน มันปลวกกินได้ บัดนี้เรามีปัญญา ให้เขาตีเข็มลงไปในลึกๆ เพิ่นเน้อ ตีเข็มลงไปในลึกๆ จนมันอยู่แล้ว อ้า จึงมาหล่อเสาต่อขึ้นมาอีก เอ้า ว่ายังไงจะกินได้ไหมปลวกเอ้ย อ้า กินไม่ได้แล้ว กินไม่ได้เพราะว่าเข็มเป็น เป็นปูน เป็นเหล็กเป็นปูน อ้า มันก็แข็งแรงกว่าเดิม จะมากินอีกไม่ได้หรอก อ้า

เพราะฉะนั้นจึงมีการตกลงกันสร้างมหาเจดีย์ ให้มันพึ่งพาอาศัยได้ จำนวนมาก เป็นอเนกประสงค์ อ้า ไม่ใช่ทำน้อยๆ เบาๆ ทำให้มันเป็นอเนกประสงค์ในเนื้อที่แห่งนั้น เออ ให้มันใช้งานได้หมดทุกอย่าง เออ แน่ะ

 

คิดไปคิดมา ความคิดใหญ่(มาก)

หมาหลายเจ้า กินข้าวหลายเฮียน(บ้าน)

(สุนัขหลายเจ้าของ กินข้าวหลายบ้าน)

ธรรมดาล่ะ เฮ้อ กินข้าวหลายเฮียน(บ้าน) ความคิดใหญ่(มาก)

 

แต่ว่าไม่แบกไม่หามมันหรอก แล้วแต่เขาจะช่วย แล้วแต่เขาจะยินดีในงานก่อสร้างเหล่านั้น ถ้าเขายินดีเขาคงจะโมทนาสาธุการ ก็ไม่เป็นของหนัก ถ้าโมทนาสาธุการแล้ว ยินดีที่จะช่วยเหลือ อ้า ดังที่เราทำมาทุกครั้งล่ะ เดี๋ยวนี้ทำงานมาอยู่ที่นี่หลายครั้งแล้ว มีการทอดผ้าป่า มหากฐิน ทอด อ้า ผ้าป่า กองทุนของโรงพยาบาลบ้าง ทอดผ้าป่าการสร้างเจดีย์บ้าง เหล่านี้ มีทุกหนทุกแห่งไปล่ะ อย่าไปถือว่าเป็นของหนัก

ถ้าเรามีก็ มีน้อยทำน้อย มีมากทำมาก ไม่มีใครกดขี่บังคับท่านทั้งหลายหรอก ถ้าท่านทั้งหลายพอใจยังไง ก็ทำอย่างงั้น
แหละ
ดังที่แสดงมาก็ยุติ สรุปแล้วยุติด้วยเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

 

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

 

ภาระสุตตะคาถา

ภารา หะเว ปัญจักขันธา

ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก

ภาระหาโร จะ ปุคคะโล

ก็บุคคลเป็นผู้นำภาระอันหนักไป

ภาราทานัง ทุกขัง โลเก

การถือเอาภาระเป็นทุกข์ในโลก

 

 

คำผญา

ไม้ซกงก ได้แก่ ตัวของเรานี่แหละ ร่างกายของเรานี่แหละ

หกพันง่า หมายถึง อายตนะทั้ง ๖ นั่นเอง

กะปอมก่า คือ กิเลสตัวใหญ่

(คือ รัก โลภ โกรธ หลง) อันแก่กล้านั่นแหละ

แล่นขึ้นมื้อละฮ้อย (มื้อละร้อย) มันวิ่งขึ้นใจคนเราวันละร้อย

กะปอมน้อยแล่นขึ้นมื้อละพัน คือ

กิเลสที่มันเล็กน้อย ก็วิ่งขึ้นสู่ใจวันละพัน

ตัวใด๋มาบ่ทัน แล่นขึ้นนำคู่มื้อๆ

กิเลสที่ไม่รู้ไม่ระวัง ก็จะเกิดขึ้นทุกวันๆ

(คำแปลจากเทศนาธรรมของหลวงปู่อว้าน เขมโก)

๑๑