หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

ชมรมกลุ่มพุทธธรรมลานทอง

วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๘.๐๐ น.

ณ ที่พักสงฆ์ หมู่บ้านลานทอง

อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

ของเก่านั่นแหละ ของเก่า เอามาเล่าใหม่ ของเก่าจะเอามาเล่าใหม่ เรื่องของเราทุกคนอันมีกายมีวาจามีใจ เป็นผู้ประคับประคองอยู่กาย วาจา ใจนี่ ทำให้เกิดโทษได้ทำให้เกิดมรรคผลนิพพานได้ เออ และเกิดเป็นบุญเป็นกุศลมหาศาล ได้ขัดเกลานั่นแหละให้มันขึ้นเงาซะก่อน ขัดเกลา เป็นเครื่องขัด เป็นเครื่องเกลา เป็นเครื่องชำระ เป็นเครื่องล้าง ที่นำพาสมาทานศีลตะกี้นี้ เป็นเครื่องขัดเกลาจริงๆ ขัดเกลาจิตใจ ขัดเกลากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉาริษยาตาร้อน เป็นเครื่องขัดเครื่องเกลาไปทุกสิ่งทุกอย่างจนถึงสิ้นไปแห่งอาสวกิเลส เป็นสมุจเฉทปหาน

ปรารถนาสุดท้ายก็ขอให้ถึงพระนิพพานอวสานของชาตินี้ด้วยเทอญ เพิ่นนะเอาไป ต้องการไปพระนิพพานไหม ในชาตินี้เอาไหม หรือเสียดายอยู่ คำว่า นิพพาน แปลว่า ดับทุกข์ ดับทุกสิ่งทุกอย่าง ดับความโลภ ดับความโกรธ ดับความหลง ดับความรัก ดับความชอบ ดับความชัง ดับความอิจฉาริษยา พยาบาทอาฆาต จองเวร จองกรรมกับผู้อื่น ดับให้หมดไม่ให้มีในหัวใจ นั่นเรียกว่าดับไปเป็น เป็นๆ พระนิพพานเป็นที่ดับกิเลสให้หมดไปจากขันธสันดาน

ไม่ใช่ว่าแต่ปากเฉยๆ นะ ต้องลงมือด้วย ลงมือกระทำด้วยตั้งแต่ต้นๆ ก็ให้ทานรักษาศีลนี่แหละเป็นการชำระ เป็นการล้างขัดเกลาจิตใจให้เบาบางไปจากความโลภ ความโกรธ ความหลงต่อไป เบาๆ ขึ้นไปหน่อยก็โลภะ โทสะ โมหะก็เบาไปอีกจน อ่ะ

 

นิพพินทัง วิมุจจะติ

 

พู้น(โน้น)แหละ ดับทุกข์ก็คือดับทั้งควัน เป็นดังไฟที่เราจุดธูปเทียนไว้อย่างนั้นน่ะ แน่ะ ถ้ามันมีเชื้ออยู่มันก็ยังมีแสงสว่างอยู่ ถ้าดับแล้วไม่มี ไม่มีแสงสว่างเลย ดับแต่ว่ามันโล่งไปหมด เพิ่นบอกงั้น ถ้าดับความมืดได้แล้ว มันโล่งของมันไปเอง รู้แจ่มแจ้งในเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องคุณ เรื่องโทษ เรื่องประโยชน์มิใช่ประโยชน์รู้จักหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็เว้นได้ด้วย เวรมณี เว้นได้แล้ว เป็นการดับทุกข์ภายในของตัวเองไม่มีทุกข์อีกแล้ว ไม่มารบกวนอีกแล้ว ความโลภก็ไม่มี ความโกรธก็ไม่มี ความหลงก็ไม่มี ความรักก็ไม่มี ความชังก็ไม่มี ยินดีก็ไม่มี ยินร้ายก็ไม่มี ดีใจก็ไม่มี เสียใจก็ไม่มี นั่งยิ้มอยู่อย่างงั้น ในใจแหละอิ่ม อิ่มอกอิ่มใจ พอภาคภูมิใจที่ตนได้รักษาให้หมดจดได้ดีแล้วสะอาดแล้ว แปลว่าไม่กังวลทำกับการทำความสะอาดอีก

ถ้าสิ้นอาสวกิเลสแล้ว ไม่กังวลในการชำระจิตใจสิ้นอาสวกิเลสแล้ว ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง ไม่มีความอิจฉาริษยาตาร้อนกันเลย ยิ้มอยู่ ผู้ใดได้ล่วงเกินไป ได้เห็นก็ดี ได้รู้ก็ดี สิ้นสลดสังเวช เมตตา ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้มีอย่างนั้นมารบกวนจิตใจอีก หมด หมดมลทิน ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่มีความรัก ไม่มีความชัง ไม่มีความยินร้าย ไม่มีความยินดี ดีใจเสียใจ ร้องไห้หัวเราะไม่มีทั้งนั้น อยู่เฉยๆ เออ นะ เพิ่นว่าสบาย

นิพพินทัง ฯ วิมุจจะติ

 

ดับเชื้อของความร้อนทั้งหลายทั้งปวงดับลงไปได้แล้วก็เหมือนดังธูปเรามีจุดธูปจุดเทียนไว้

ถ้ามันหมดเชื้อน้ำมันเชื้อเพลิงมันหมดแล้วดับ ความร้อน ก็ไม่มี ดับ แต่ว่าความรู้ไม่ได้ดับ ความรู้อยู่ในหัวใจของเราไม่ได้ดับ รู้ดี รู้ชั่ว รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษ รู้ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ไม่มีใครบอกเราก็รู้เอง ว่ามันเบาบางไปจริงๆ อ่ะ มันหมดไปจริงๆ เหรอ จะทดสอบมันได้ไหม ไม่มี ความรักก็ไม่มี ความชังก็ไม่มี ความยินร้ายก็ไม่มี ความดีใจเสียใจก็ไม่มี การร้องไห้หัวเราะก็ดี มันเป็นไปเองธรรมดา สิ่งที่ไม่ ไม่เป็นโทษ เราก็อาจจะปฏิบัติตนให้ พอดีเสมอๆ

เขาหาว่าเป็นคนเย็นชา เย็นซะแล้ว เย็นชาซะแล้ววางได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมันก็สบายไปเอง สบาย ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีอะไรมาปรุง มาแต่งใจได้อีกแล้ว เรารู้เสียแล้วอ่ะ

เพิ่นว่าสบาย กิเลสสิ้นไปแล้วสบาย นั่งสมาธิภาวนานี่ไม่ต้องทำก็ได้ เพราะว่ามันสงบอยู่ รักษาความสงบได้อยู่ ไม่มีสิ่งมารบกวน ยั่วยวน ชวนให้คิด ชวนให้ปรุง ชวนให้แต่ง ไม่มีอะไร มีอะไรมารบกวน เรา ไม่มี ราคะก็หมด ราคะก็หมด โทสะก็หมด โมหะความหลงก็ไม่หลงทาง เป็นคนแจ้งสว่างอยู่อย่างนั้น หูแจ้งตาใสมองได้ไกลแสนโยชน์ไม่ได้ใกล้ๆ นะ มองไปถึงพรหมโลกนู้น เทวโลก สวรรค์ โลก นรกมองไปก็รู้ โอ้ มันทำให้ใจมัว ใจหมอง ใจขุ่น ใจมืด ใจหม่น อนธการ มองเหตุบ่เห็นหยัง มีแต่ใจพาโล เคียดจนคุณคำฮ่ายให้ พาให้คุณภาพจิตดีเด่น

ไม่ต้องมารักษามันยาก ไม่ต้องปฏิบัติอะไรก็ได้เพราะมันหมดแล้ว ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องละเว้นอะไรแล้ว หมดจริงๆ ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่มีแล้วในใจเรา เป็นคนรู้อยู่อย่างนั้น รู้วิชาอยู่อย่างงั้น ไม่ต้องลำบากครูบาอาจารย์ทางไหนอีกแล้ว

เขาบอกว่าหัวดื้อหัวรั้นหรือยังไงไม่ใช่ว่า ท่านบอกให้อย่ามาบอก อย่ามาว่า อย่ามาพูด อืม เถียงขึ้นทันที รู้แล้วล่ะ รู้แล้วล่ะ รู้ละรู้วาง เออ รู้แล้วก็ละ ละแล้วก็คือวาง วางธาตุ วางๆ วางความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ มันหมดไปจากจิตใจเรา ยังไง ทำไมไม่มีมันอยู่ซื่อๆ นี่ อยู่ซื่อๆ ถ้าพูดถึงบุคคลผู้คนล่วงพ้นไปแล้ว ท่านนั่งยังยิ้มสบายอยู่ เหมือนดังพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปองค์ไหน เขาทำตั้งแต่ยิ้มๆ หน้ายิ้มๆ อยู่อย่างงั้น ก็ไม่มีสิ่งรบกวน ยั่วยวนจิต มีแต่ความสบายใจ แต่ว่าความห่วงใยพุทธบริษัทก็มีธรรมดา เออ ห่วงกลัวเขาประพฤติผิด กลัวเขากระทำผิด พูดผิด คิดอะไรนอกลู่นอกทางออกไป นั่นเป็นความห่วงของพระพุทธเจ้าห่วงพวกเราอย่างงั้น ไม่ให้คิดนอกลู่นอกทางออกไป ให้อยู่กับเนื้อกับตัวลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ มันอ่อนหรือใจอ่อนก็รู้ ความรู้น่ะมันค่อยน้อยลงๆๆ มันขาดจริงๆ แล้วก็บ่ตายหรอก ขาดไปไม่มีเชื้อไฟไม่มีควันเหมือนดังดวงประทีปหรือเทียนที่จุดไว้แล้วดับไม่มีควันเลย ไม่มีควันสิ่งรบกวนไม่มีสิ่งร้อนอยู่ในนั้นเลยสบายมากเฮอะ เฮอ

 

สุโข วิเวโก

 

เออ สุขเกิดเพราะความวิเวก วางได้แล้วมันเป็นวิเวก สงบจิตสงบใจของตัว วิเวก นั่งอยู่ก็ยิ้มอยู่อย่างงั้น ไม่มีสิ่งมา รบกวนเราเลย นี่เรารับธุระภาระนี้ รับบริหารหมู่พวก บริหารหมู่คณะลูกหลานของตัวเอง มันพาให้วุ่นอยู่ ยุ่งอยู่ ห่วงของเขา อ้า ถ้าตัดห่วงอันนี้ได้แล้วก็สบายอีกแหละ ไม่หนัก ไม่หนักใจกับการดูแลรักษา ผู้ใดสนับ บังคับก็กระทำตามเราทุกอย่างเชื่อใจเราทุกอย่าง วางใจกันได้หมด ความยุ่งเหยิง ไม่มีความยุ่งเหยิง ยุ่งเหยิงขึ้นมาได้ เป็น

 

สุโข วิเวโก

 

ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี อืม ความสุข ใดๆ ในโลก ถ้าใจสงบแล้วมัน มันๆ สบายอันนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านบอกหรอก ท่านบอกอย่างงั้น ทำใจให้มันสบาย อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดเลยให้วางซะ แม้แต่ธาตุร่างกายของเรานี่ ก็เอาไว้ไม่อยู่ เมื่อไหร่เขาจะไปเผา เมื่อไหร่เขาจะไปเผา จะเผาที่ไหน ไม่รู้ ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวแล้ว หมดแล้วไม่มีห่วงไม่มีใย นี่วิธีทำใจให้ขาดจากอารมณ์ อารมณ์ที่มันยุ่งเหยิงอยู่อ่ะ อารมณ์ที่มันพาเราทุกข์เนี่ยเป็นห่วงอะไรก็เป็นห่วง เบื้องต้นก็หวงซะก่อน หึงแล้วก็หวง แล้วก็ห่วง ทั้ง ๓ อย่างนี่รวมกันเข้ามาเป็นห้วงติดห้วงมหรรณพ ที่จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปห้วงมหรรณพ เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรใหญ่ๆ กว้างไกล ถ้าไม่มีเรือเป็นพาหนะแล้ว จะไปได้ให้ข้ามฝั่งโน้น ได้หรือเปล่า ก็วนอยู่เนี่ย วนอยู่ไปๆๆ มันก็วนกลับไปอยู่นี่แหละ วนกลับไป วนกลับมาอยู่นี่เรียกว่า

 

วัฏฏวน

 

อ้า ความรักความชังนี้มีมาเป็นขู่(คู่) กันแล้ว มันมีมาเป็นขู่(คู่) ถ้าใจดีแหละ ก็จึ่ง(จึง)ค่อยได้ ใจฮ้าย(ร้าย) กะไหล่(ไล่)ทำไล่ฆ่าไล่ตี ใจฮ่าย(ร้าย) ใจดีคือน้ำท่าใส(สวย)งามๆ คือน้ำออกบ่อ เน้อ บ่มีขุ่นมีมัวได้

อันนี้ท่านเปรียบเหมือนดังแก้วเจียระไน แก้วที่เจียระไนแล้วก็เหมือนกัน แก้วที่มันขุ่นมันมัวอยู่ มีสีอื่นมาแปดเปื้อนมันอยู่ ทำให้มัวหมองได้ขุ่นมัวได้ ถ้าขัดให้ถึงที่แล้ว บริสุทธิ์ใสแล้ว ไม่มีเศร้าหมองสักทีเลย ใสอยู่อย่างนั้น อ้า พอขัดได้แล้ว ขัดเกลาได้แล้ว ขัดเกลากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเบาบางไป ราคะ โทสะ โมหะมันเบาบางไปมันก็เกิด อะไรจะเกิดขึ้น ความสบาย เกิดขึ้นเรียกว่า

 

สุโข วิเวโก

 

สุขเกิดจากความวิเวกไม่มีกังวล เป็นวิเวกจริงๆ ถ้าไปห่วงมันก็เป็นภัณฑไทย เครื่องผูกมัดรัดรึงเราอีกอยู่อย่างงั้นแหละ ทำให้เราเป็นห่วงผูกมัดรัดรึงเราไว้อยู่อย่างนั้น

คือหลวงปู่ เดี๋ยวนี้เขาก็เอาคล้องห่วงมาใส่หัวใจเรา หลายอย่างอยู่ เดี๋ยวก็สร้างอันนั้น เดี๋ยวก็สร้างอันนี้ สร้างเจดีย์สร้างกุฏิวิหาร ที่อยู่ที่อาศัย ที่มันชำรุด ทรุดโทรม มันรั่ว มันพัง มันรั่ว ปลวกกินมัน เหล่านี้ก็เป็นธุระภาระรับผิดชอบเองเนี่ย นี่ก็หนักใจอยู่สิปะเนี่ย ปะเนี่ย ให้เพิ่นหนักใจอยู่

เพราะฉะนั้นท่านผู้ใดมีโอกาส เราก็ช่วยกันบ้างไป ไปเอาของหนักออกจากอกดู ให้มาอย่างงั้นให้ไปช่วยกัน ไม่ได้ต้องการหรอก เอาของหนักออกจากอกหลวงปู่ล่ะ หลวงปู่รับภาระอยู่เดี๋ยวนี้งานใหญ่พอสมควร เป็นหลายล้านว่ะ จะจ่ายเขาไปบ้างแล้วล้านสี่ ยังๆ ล้านสี่แสนห้า เออ ไม่ถึงร้อยล้าน เขาว่าลด ลดลงไปจากร้อยล้านลงไปแล้ว อืม เหลืออยู่น้อยๆ ไม่มากหรอก ถ้าญาติโยมมีศรัทธาช่วยกัน แอ้ ก็แบ่งเบาภาระที่หนักอยู่ในหัวใจออกให้

อันนี้บ่แม่น(ใช่)ล่ะ บ่แม่น(ใช่)ไถนะ พูดให้ฟังความหนักมันมีอยู่ว่า คือเราอยู่บ้านหลังนี้ บ้านหลังโน้น บ้านภาระหลายๆ อย่างร้านค้าร้านเค้ออะไร มันมีหลายๆ อย่าง ถ้าเรามีของหลายอย่างอย่างงั้น เป็นภาระของใคร เป็นภาระของเจ้าของเอง จะดู จะแล จะซ่อม จะแปง(ซ่อม) ขุดบูรณปฏิสังขรณ์ก็เป็นหน้าที่ของเรา นี่เดินตรวจอยู่ทุกวันทุกวันเนี่ย ไม่มีอะไรชำรุดทรุดโทรม มาอะไรที่จะดูแลบ้าง บ้านหลังนั้นก็เหมือนกันสิ่งอื่น ก็เหมือนกันที่ร้านค้าร้านเค้อ มันมีสิ่งที่จะรับผิดชอบ อ้าไม่ได้วางเฉยๆ อืม นอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ไม่รับผิดชอบภาระอีกอันนี้ก็ผิดอีกเหมือนกัน

เราเป็นสมภาร สมภารน่ะ แปลว่าไง สมภารแปลว่ารับภาระ สมภารแปลว่าภาระรับผิดชอบ สิ่งใดชำรุดทรุดโทรม สิ่งใดจะซ่อม จะแปง(ซ่อม) จะดูแลมันให้มันคงที่เป็นปกติเราก็เบาใจ อ้า ถ้ามีผู้ช่วยแล้วก็ไม่ม้วยมรณา ถ้าไม่มีใครช่วยล่ะตาย ตายแน่ๆ ตายแน่ๆ อ้า

บัก(นาย)เซียง(สึกจากสามเณร)เมี่ยง เพิ่นว่ามันตายแน่ๆ เซี่ยงเมี่ยง(นิทานพื้นบ้านเรื่องศรีธนญชัย) ว่าอย่างงั้น ตายเป็นของหนัก ล่ะก็ตาย ภาระ

 

ภารา หะเว ปัญจักขันธา

 

ขันธ์ทั้ง ๕ ถ้าพูดภาษาเราๆ ก็ขันธ์ทั้ง ๕ นั่นแหละ อ่ะ ทั้ง ๕ เป็นภาระอันหนัก

 

ภารา หะเว ปัญจักขันธา

ภาระหาโร จะ ปุคคะโล

ภาราทานัง ทุกขัง โลเก

 

ภาระ หะเว พะรุงพะรัง มีแต่ของดูแล จะรับผิดชอบ จะวางก็ไม่ใช่ซะ ไม่ ไม่ถูกต้อง วางซะเลย มันชำรุดทรุดโทรมมากแล้วจึงจะไปซ่อมมันมันก็จะเป็นภาระอันหนักอีกเหมือนกัน

อืม ไม่ต้องซ่อมต้องแปง(ซ่อม)อย่างนี้ได้ ทำดีแล้วแข็งแรงถาวรได้อย่างนี้ ไม่ต้องซ่อม ต้องแปง(ซ่อม) ไม่ต้องดูก็ยังได้ ต้องการชุมนุมเวลาไหน ต้องการนัดหมายให้มาฟังเทศน์กันวันไหนวันไหน ทำบุญให้ทานเรื่องอะไร บอกกันไปแล้วก็มากันคึกอย่างนี้ มีที่ให้นั่ง มีที่ให้อยู่ให้กิน มีห้องน้ำ มีห้องส้วม มีบริการทุกอย่างไปหมด อย่างนั้นเขาเรียกว่าสมบูรณ์แบบ

คำ(อาการ)หวง คำ(อาการ)ห่วงก็เบาไป นั่งสมาธิภาวนาก็เบาไป ไม่ยึดไม่ถืออะไรเลย เออ เออ ถ้ามันจะพังจริงๆ ก็เป็นหน้าที่ของใคร เป็นหน้าที่ของเราเองมิใช่หรือ หาร่างกายของเรานี่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ภายนอกที่มองเห็นกันอยู่ ภายในเข้าไปบน ตับ ไต ไส้ พุง อาหารย่อยหรือไม่ย่อย เป็นเรื่องยุ่งขึ้นมาอีก มันไม่ตด มันไม่ถ่าย มันไม่อึ มันไม่ฉี่ เยี่ยวก็ไม่เยี่ยว ขี้ก็ไม่ขี้ อึก็ไม่อึ มันไม่ออก แล้วเป็นยังไงทุกข์มหันต์อีกแหละ นี่เกี่ยวกับก้อนทุกข์ตัวของเราเป็นก้อนทุกข์ ไม่ใช่ตัวของเราเฉยๆ ต้องรับผิดชอบทั่วๆ ไปในครอบครัวของเราต้องรับผิดชอบทุกอย่าง บุตร ภรรยา สามี ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเครื่องใช้ไม้สอยที่จะต้องจัดหาจัดทำ อย่าให้มันขาดตกบกพร่องได้ รู้จักคาดการณ์ไว้ก่อน ว่าต้องเป็นอย่างนี้ๆๆ แม้สุขภาพร่างกายของเรา ก็มีแต่เครื่องทรุดโทรม เครื่องทรุดโทรม ชำรุด ทรุดโทรม ร่อยหรอลงไป เฒ่า.. แก่ลงไป ฟันที่มองเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ก็แปง(ซ่อม)มาใหม่ ไปแปง(ซ่อม)มาใหม่ ของเก่าหมดแล้ว อ้า เพิ่นว่า

 

เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ

 

สิ่งที่มองเห็นด้วยตา ส่วนภายในเข้าไป มังสังหมายถึงเนื้อกล้ามเนื้อในร่างกายนี่ มีกล้ามเนื้อเป็นมังสัง เอ่ย เป็นเส้น เป็นเอ็น เป็นกระดูก ทุกอย่างที่ค้ำยันร่างกายไว้นี่ ก็เป็นภาระที่จะต้องดูต้องแลมัน ถ้ามันชำรุดมากแล้วมันเอาไม่ไหว อ่ะ พอแก้ไขได้ก็ไปแก้ไขมันซะ อ่ะ

อย่าไปปล่อยมัน ปล่อยมันน่ะ มันมาก มันรุกลามไปมากแก้ไขยาก โรคทับ โรคใต้โรค หัวใจ โรคอะไรมันมีมันอยู่ในร่างกายของเรามีหมด แม้แต่หลวงปู่ผู้เทศน์อยู่นี่เขาก็เอาไป กินนี่ กินนี่ กินแล้ว อ้า พอเอาไปกินแล้วมันเป็นนิ่วในไต อ่ะไม่ใช่ นิ่วในถุงน้ำดี

ถ้าเขาไม่ช่วยไว้ก็คง เจ๊ดปะแหง(ไม่เหลือ)แล้วหรือตายไปแล้ว นี่เขาช่วยไว้ทัน ให้เอามาเร็วๆ ให้เอามาเร็วๆ อาการเป็นอย่างงั้น ให้เอามาให้ถึงโรงพยาบาลได้วันนี้ยิ่งดี ถ้าปล่อยไว้มันอิ(จะ)ทะลุตับ ไต ไส้ พุง ถุงน้ำดีมันจะทะลุลงไป ถ้าทะลุแล้วแก้ยาก แอ้ ถ้าพอแก้ได้ หมอรับประกันอยู่จะแก้ให้ ยังสบายอยู่ก็ไม่มาก ตัด ทิ้งไปเลยตัดถุงน้ำดีทิ้งไปเลย เออ สิ่งที่มันมารบกวน เจ็บปวดอยู่ในถุงน้ำดีแน่ะ

มันแหม มันแทบใจจะขาดทุกวันน่ะ เจ็บมันอยู่ ทีอยู่เฉยๆ มันก็ทะเลาะกันหรือยังไง หือ อยู่ในถุงน้ำดีมันทะเลาะกันมัน มันสู้กันหรือยังมันเจ็บมากเมื่อแหละ ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหลายทั้งปวง มันก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่ เราบริหารมันอยู่ ด้วยกายบริหารร่างกายออกกำลังกายบ้าง

ถ้าเป็นครูบาอาจารย์เป็นเฒ่า แก่แล้ว หมู่พวกก็ต้องเหยียบย่ำเอา ไม่ใช่ของดี อ่ะ ถูกเขาเหยียบเขาย่ำรังแก นำ(ตาม)แข้ง นำ(ตาม)ขา นำ(ตาม) หลัง นำ(ตาม)แอว(เอว) ลงศอก ลงเข่า

มันตึงถ้าไม่บริหารมัน มันตึง เครียด ขาตึง เส้นๆ เส้นข้อ เส้นข้างมันตึง เส้นหลังมันตึง อาศัยหมู่แก้ไขช่วยเหลือให้ นี่เรื่องบริหารร่างกาย ไม่ว่าตั้งแต่ของภายนอก ของอยู่ในตัวของเราก็ต้องบริหารมันอยู่ให้มันกินอันนั้น ให้มันกินอันนี้ กินยาอันนั้น กินยาอันนี้ บำบัดมันอยู่อย่างนั้น เพิ่นยังว่ากองทุกข์ ร่างกายของเราเป็นกองทุกข์ ก้อนของทุกข์ เออเพิ่น

 

ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา

 

อ้า มีความรู้ ความเฉลียวฉลาดอะไร มันก็โง่ได้

 

สัพเพ สังขารา อะนิจจา

 

สังขารทั้งหลาย มันไม่เที่ยง สัพเพ แปลว่าหลาย หรือ

 

สัพเพ สังขารา อะนิจจา

สัพเพ สังขารา ทุกขา

 

อนิจจัง อนัตตา มันก็เห็นปรากฏกันอยู่ ต้องเยียวยากันไว้อยู่ทุกวี่ทุกวันน่ะ แต่ว่ามีบุญมีกรรมที่เป็นบุญเป็นกุศล มีเจตนาทางบุญทางกุศลอยู่ ก็ยังมีที่พึ่งทางใจปะเนี่ย มีที่พึ่งทางใจ เราละมันแล้ว เราวางมันแล้วทำตามใจมัน มันจะเป็นยังไงก็เรื่องของมัน เอาไว้ไม่อยู่

มีหูก็ต้องเกิดโรคทางหู มีตาก็โรค โรคขึ้นทาง อ้า อ้า ตา จักขุโรโค โสตะโรโค ฆานะโรโค ชิวหาโรโค กายะโรโค มะโนโรโค แม้แต่ใจก็เป็นโรคเหมือนกัน อ้า มีตั้งแต่ก้อนโรคอยู่ในตัวของเรา

เพราะฉะนั้นเอาบุญเป็นที่พึ่ง เพราะเราบำเพ็ญไว้ให้มันเยียวยาได้ง่ายๆ อย่าให้มันถึงกับปลดชีวิตเราไปได้คอยเยียวคอยยามันเป็นนั่นเป็นนี่ก็หาเยียวยาไว้ หาหมอ หมอเขาก็ตรวจให้ อย่างเราอยู่โรงพยาบาลเหมือนกันแหละไม่ได้อยู่เฉยๆ หรอกเขามาตรวจให้ทุกวันๆ อ้าพึ่งพาอาศัยเขา ช่วยกัน อะไรมันชำรุดทรุดโทรมเขาก็ดูแลให้อยู่ มันนี่มันดูแลได้ ฟันเคี้ยว เคี้ยวข้าว มันหล่นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรดีเลย นี่พอเคี้ยวข้าวได้ หย้ำ(เคี้ยว)ได้ กลืนได้

ก็หมอเขาช่วยไว้ให้เหมือนกัน ทำฟันปลอมมาให้ อ้า ฟันถึงเคี้ยวได้ เคี้ยวหมากก็อาศัยฟันปลอมล่ะได้ เคี้ยวอาหารก็อาศัยฟันปลอมล่ะ อะไรมันพอขบได้ กลืนได้ จึงค่อยกลืน ในร่างกายของเรามีแต่โรคทั้งนั้น เพิ่นจึงว่า

 

วิวิธา อาพาธา

 

ในร่างกายของเราทุกอย่าง แม้แต่ดวงตาของเรา จักขุโรโค โสตะโรโค หูก็เป็นโรค ชิวหาโรโค ฆานะโรโค กายะโรโค มะโนโรโค ในที่สุดแม้แต่โรคทางใจก็ยังมีอีก เออ อืม

เพิ่นมีแต่โรคทั้งนั้นเต็มไปด้วยโรค เพราะฉะนั้นร่างกายของคนเราทุกคนมันจึงจำเป็นธุระภาระเป็นก้อนทุกข์ ให้เราบริหารมันถูกต้องดูแลมันรักษามันเพราะอาศัยมัน อาศัยมันทำอะไร อาศัยมันทำคุณงามความดี เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนา เหล่านี้มันเป็นบริหารใจ ให้มีโอกาสได้ทำบ้าง

อย่าปล่อยให้มันจนเละเทะตุ้มเป๊ะ เดี๋ยวแก้ไม่ไหว ปล่อยให้มันแย่แล้ว มันเดี๋ยวแก้ไม่ไหว อย่าปล่อยให้แย่ พอเยียวยารักษาไว้ได้ก็เอา ฝากไว้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อานิสงส์อาจจะเกิดขึ้นมาช่วยเหลือเราได้อยู่

 

เพราะฉะนั้นทุกท่านทุกคนที่นั่งประชุมกันอยู่ที่นี่ ก็ได้บริหารมันไว้ทุกคนทุกคนนะ บริหารร่างกาย เส้นเอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อยู่ในท้องนี่ ก็บริหารมันไว้หาอาหารให้มันกิน หาเยียวยาให้มันกินอยู่อย่างนั้นบำบัดมันไว้แอ้ เห็นหรือยัง กองทุกข์มันมีอยู่ประจำเรา เพราะฉะนั้นน่ะ ทำอย่างไรทุกข์เหล่านี้ทั้งหมดนี้จะหนีจากเราไปได้ อานิสงส์ เอาอานิสงส์การจำศีล ให้ทำบุญให้ทาน นั่งสมาธิภาวนาขัดเกลาจิตใจของตนไว้ อย่าให้มันกำเริบเสิบสานจนเต็มที่ถ้ามันกำเริบเต็มที่แล้ว มันเอาไม่อยู่

เหมือนเรือมันรั่ว เรือมันรั่วมากๆ เข้ามากๆ เข้า อุดไม่อยู่ เยียวยาไม่อยู่ แก้ไขไม่อยู่ รถที่เราขับขี่อยู่ ทุกวัน ทุกวันนี้ ก็เห็นมันชำรุดนิดๆ หน่อยๆ ก็ไปให้นายช่างเขาดูให้ ดูใน แก้ไขให้ซะ อืม มีอะไรต่ออะไร ที่จะแก้ไขได้ก็ แก้ไขได้แก้ไข ถ้าให้ช้าแก้ไขไม่ได้เป็นยังไง รถทั้งหลายเขาเอาไปเป็นรางปลูกผักน่ะ เป็นรางปลูกผักนะขนดินเข้าใส่ อ้าขนดินเขาใส่ มันดีๆ อ่ะ มีสะระแหน่มีอะไรๆ มาปลูกอยู่ในนั้น ของหอม ของเหม็นก็เอามาปลูกที่รางรถนั่นแหละ รัง อ้า เขาเรียกว่าตัวถังรถน่ะ ตัวถังรถน่ะมันก็ชำรุดทรุดโทรมเหมือนกันขี้สนิมกินทะลุอันนั้นทะลุอันนี้ ทะลุหม้อน้ำ ทะลุหม้ออะไร หม้อลม มันรั่วทะลุ อะไรมีแต่เรื่องที่แก้ไขทั้งนั่นแหละ ในที่สุดพาหนะที่เราใช้อยู่ทุกวัน ทุกวันก็ต้องบริหารมัน ต้องดูแลมัน เหมือนดังร่างกายของเราอาศัยมันอยู่ทุกวันๆๆ ก็ต้องบริหารมันดูแลมันอยู่อย่างงั้นแหละ อย่าเพิ่งเบื่อ อย่าเพิ่งหน่าย ให้พิจารณา ให้เห็นกองทุกข์ชัดๆ ซะก่อน กองทุกขัง

 

ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา

 

ชัดแจ้งแล้วมันจะรู้จักวางของมัน โอ้

 

ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา

 

เอ้ยมันเป็นกองทุกข์ทั้งนั้นนะ ร่างกายของเราก็ดี เส้นเอ็น ตับ ไต ไส้ พุง กระดูกกระเดี้ยวของเราเหมือนกัน มันชำรุดทรุดโทรมได้ เราบริหารมันอยู่ทุกวันแหละ กินยา ถ้าเป็นนิดๆ หน่อยๆ ก็ไปหาหมอ หมอนวดก็แก้ให้ตามความสามารถของเขา หมอฉีดยา ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เขาก็ฉีดยาบำรุงแก้ไขให้บรรเทาความเจ็บความปวดลงได้ อ้า ถ้าไปเมินเฉยไม่ดูไม่แลมัน อย่าปล่อยให้มันรั่วมากๆ เฮ้อ นี่หลังคาเราอยู่อาศัยอยู่นี้ ถ้าปล่อยให้มันรั่วมากๆ เหอะ ก็มันแก้ไม่ทันนะ แก้ไม่ได้ แก้ไขเวลาเราพอแก้ไขได้ก็แก้ไขไป โยนไปไหน อ้า ร่างกายเราก็เหมือนกัน เราแก้ไขได้ก็บำรุงรักษามันไปพยาบาลมันไปดูแลมันไว้ อืม อืม เพื่อได้ทำคุณงามความดีต่อไป อ่ะให้รักษาศีลก็ต้องอาศัยร่างกาย นั่งสมาธิ ภาวนาก็ต้องอาศัยร่างกาย ทำความพากความเพียร ทางกายก็ดีทางใจก็ดีก็ต้องมาแก้ไขที่นี้ นี่มันพูดอย่างเป็นปรมัตถ์ พูดเข้ามาข้างในมันเป็นปรมัตถ์ อรรถธรรม อยู่ในตัวของเราหมดทุกคนเนี่ยมีหมด ทุกคนเนี่ยมีของที่จะให้รับผิดชอบบริหารงานมัน อืม ที่นั่งเทศน์อยู่นี้ก็เขา เขาบริหารให้หลายครั้งแล้วบริหารถึงได้มานั่งเทศน์อยู่นี่ได้ อาศัยผู้อื่นมาช่วยเหลือและบริหารให้มีหมอดูแลตรวจตาให้ เส้นเอ็น หัวใจ ความดัน ดันสูง ดันต่ำมีหมดทุกอย่างแหละ อยู่ในร่างกายเรา เพราะฉะนั้นอย่าประมาทพวกเราอยู่กับของไม่เที่ยงร่างกายมันไม่เที่ยง

 

ร่างกายนี่ไม่นานหนอ

บังเกิดต่อแล้วกลับกลาย

ดุจฟองแห่งน้ำหมาย

แล้วแตกดับวับกระเด็น

 

มัน มัน มันเป็นไปอย่างงั้น เวลามันแตกมันดับไปหาย สูญหายไปไหน เขาเอาไปเผาไฟ แม้ตั้งแต่กระดูกชิ้นเดียวก็ไม่เห็น อืม เป็นปุ๋ยไปหมดแล้ว ร่างกายทั้งหลายทั้งปวง เป็นปุ๋ยของพืชพรรณธัญญาหาร หญ้าต้นไม้ทั้งหลาย ผู้มีปุ๋ยดีดินดี น้ำดี เขาก็งามเกิดดอกออกผลให้ได้ใช้ ถ้ามันขาดอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมา ไม่ ไม่ได้นะ แก้ แก้ไขไม่ทัน เพราะฉะนั้นขอฝากทุกคนช่วยคิดค้นคว้าตัวเองภาวนารักษาใจไว้รักษาสุขภาพร่างกาย ในร่างกายนี้มีสุขภาพจิตด้วย กำลังใจด้วย

ถ้าสุขภาพจิตดี สุขภาพร่างกาย เส้นเอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ในร่างกายนี้มีเป็นส่วนของร่างกายก็เป็นสุขภาพเหมือนกัน ถ้าเราไม่รักษามัน เวลามันแย่แหละมันแก้ไม่ไหวแก้ไม่ทัน ให้ตรวจตราอยู่เสมอๆ หมอผู้ที่ชำนาญการมีอยู่ อะไร อะไรมันชำรุดที่ตรงไหน ตรงไหนก็ช่วยแก้ช่วยไขกันไปทีละนิดละน้อย มีพี่ มีน้อง มีพ่อ มีแม่ มีลูก มีหลานอาศัยไหว้วานกันได้ เพราะอาศัยกันได้เราอยู่ด้วยความอาศัยชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย

อย่างเป็นพระอย่างงี้ ก็อาศัยชาวบ้านชาวเมืองเขาให้อาหารการกินให้น้ำโภชนะอาหารทุกวัน ถ้าเขาไม่ให้แล้วก็หมดแรงแล้วป่านนี้ แจ๊ดปะแหง่ แหงแก๋

เพิ่นก็ไป หนีจากเรา หลายองค์แล้ว หลวงปู่ทั้งหลายก็ไปหนีจากเรา ทั้งหลายแล้ว

หลวงปู่คำดี(หลวงปู่คำดี ปภาโส)

หลวงปู่ชอบ(หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)

หลวงปู่หลุย(หลวงปู่หลุย จันทสาโร)

หลวงปู่ซามา(หลวงปู่ซามา อจุตโต)

หลวงตามหาบัว(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)

 

ไปแล้วไปช่วย ไปช่วยส่งท่านแล้ว เอาดอกไม้ธูปเทียนไปช่วย ส่งสการ(ส่งสักการะ)ท่าน ไปเผาท่านแล้ว

 

โอปะนะยิโก

 

น้อมเข้ามาหาตัวเรา ทุกครั้งๆ ไปที่ไหน ไปที่ไหนก็ โอปะนะยิโก น้อมมาใส่ตัวของเราตัวของเราก็จะเป็นอย่างนี้ อย่างเดียวหนอ หึ เออ ยิ้มดูมัน ถ้ามันพอใช้งานได้ก็อยู่ไป ถ้ามันใช้งานไม่ได้ก็ต้องวางธรรมดาล่ะ หอบไว้เอาไว้ไม่อยู่ ขอให้ทุกคนอย่าได้ประมาท เพราะว่า ความมันไม่เที่ยง

 

ร่างกายมันไม่เที่ยงหนอ

บังเกิดก่อแล้วกลับกลาย

ดุจฟองแห่งน้ำหมาย

แล้วแตกดับวับกลายเป็น

 

อืมอะไร เหตุนั้นแหละ คนเราสุขก็รีบแสวงหา มันมีอันจะมรณา นิยธรรมดาเป็น โอ้ย มาอยู่เรื่อย ควรเป็นกุศลไว้จะทำให้มิเคืองเข็ญ ถ้ามีบุญมีกุศลแล้วก็ สุขภาพร่างกายก็ดี อายุก็มั่น ขวัญก็ยืน อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรลูกหลานสืบไปอีกนานเท่านานทุกคน ทุกคนด้วยเทอญ

แจ้งให้ทราบนะ เงินทุกบาททุกสตางค์ ไปสร้างเจดีย์ ใครจะมาแหยมไปไหนไม่ได้ อยู่ใน อยู่สร้างเจดีย์หมดน่ะ ถ้าเงินส่วนตัว ก็จึงค่อยจ่ายอย่างอื่น อ้า ส่วนสร้างเจดีย์นั้นแหยมไม่ได้ สักสลึงเดียว เออ สร้างเจดีย์ให้หมด อืม อ้า เก็บไปเก็บมาก็ มันก็ตื้นขึ้น ตื้นขึ้นมา จ่ายไปแล้ว ถ้าเราไปวัดศรีอภัยวันต่อไป ก็อาจจะมีหินอ่อนพอ อ้า

เพราะว่ามันต่อเป็นพื้นเดียวกันกับวิหาร ต่อเป็นพื้นเดียวกันกว้าง ชั้น ชั้นบนแล้ว มันเสร็จ เจดีย์สิขึ้นอยู่ข้างบนมันเน้อ อ้า อ้า มันต่อกันไป มันต่อกันไป อืม เขาจะหาว่าต้มตุ๋นประชาชน จะเอาเงินเจดีย์ไปใช้จ่ายทางส่วนตัว ไปสร้างอย่างอื่น เพราะฉะนั้น ไม่ให้มันไหลไปไหน สร้างเจดีย์อย่างเดียว

 

ขอให้มันสำเร็จ

ขอให้มันสำเร็จเด้อ

 

นิพพินทัง วิรัชชะติ

วิราคา วิมุจจะติ

เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความติด

เพราะคลายความติด จิตก็พ้น

 

สุโข วิเวโก วิเวกเป็นสุข

โอปะนะยิโก ควรน้อมเข้ามา

 

คิริมานนทสูตร

อิมัสมิง กาเย วิวิธา อาพาธา อุปปัชชันติ ฯ

เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้

 

ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน(กรรมฐานมีหนังเป็นที่ ๕)

เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ

(ผม) (ขน) (เล็บ) (ฟัน) (หนัง)

 

 

วัฏฏวน [วัด-ตะ-วน] วน เวียน หมุนวน

 

ภัณฑไทย [พัน-ทะ-ทัย]

การกระทำของพระภิกษุเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องเสียหายเป็น

มูลค่าตั้งแต่ ๕ มาสก คือ หนึ่งบาทขึ้นไป

 

อนธการ [อน-ทะ-การ] ความมืดมัว ความโง่เขลา

 

ธรรมนิยาม

ทุกขัง ความเป็นทุกข์

อะนิจจัง ความเป็นของไม่เที่ยง

อะนัตตา ความเป็นของไมใช่ตน

สัพเพ สังขารา อะนิจจา

สังขาร คือ สังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง

สัพเพ สังขารา ทุกขา

สังขาร คือ สังขตธรรมทั้งปวงเป็นทุกข์

 

ภาระสุตตะคาถา

ภารา หะเว ปัญจักขันธา

ขันธ์ ๕ เป็นภาระอันหนัก

ภาระหาโร จะ ปุคคะโล

ก็บุคคลเป็นผู้นำภาระอันหนักไป

ภาราทานัง ทุกขัง โลเก

การถือเอาภาระเป็นทุกข์ในโลก

 

 

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

แต่งโดย พระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม

(บทคัดบางส่วน)

โอ้กายไม่นานหนอ บังเกิดก่อแล้วกลับกลาย

ดุจฟองแห่งน้ำหมาย ย่อมแตกดับโดยฉับพลัน