หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

วันเสาร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๙.๓๐ น.

ณ ปั๊มแก๊สเอ็นจีวี

อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี

 

โอ้ ยังนึกหาคำที่จะมาเทศน์ให้ฟัง ยังไม่มีเลย

เอาล่ะ ตั้งใจฟัง

 

สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง

 

ถ้าฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา ถ้าได้ปัญญาไปแล้ว ก็พาตัวรอดเป็นยอดดี มีปัญญาเท่านั้นแหละพาตัวรอดได้ ถ้าไม่มีปัญญาก็ เอาตนไปไม่รอด ผู้ที่ได้เป็นพระอริยเจ้าทั้งหลาย ได้เป็นพระโสดา(บัน) พระสกิทาคา(มี) อนาคา(มี) อรหันต์เหล่านี้ ก็ท่านเป็นผู้มีศีล มีธรรมกันทั้งนั้น ท่านจึงไปรอด ถ้ากิเลสตาย คายกิเลสหลุด ถึงวิมุตติ มรรคผล นิพพาน ก็เพราะศีลนั้นเอง ถ้าไม่มีศีลแล้วก็ สิ้นดี ไม่มีศีลแล้วก็สิ้นดี สิ้นเป็นคนดีของชาติ ของศาสนา ของบ้าน ของเมือง ที่พากันอยู่ได้เดี๋ยวนี้เพราะมีศีลกันอยู่บ้าง มีธรรมกันอยู่บ้าง ปฏิบัติธรรมกันอยู่บ้าง จึงพากันอยู่รอด เพราะฉะนั้น ให้พวกเรามั่นใจใน

 

ศีล สมาธิ ปัญญา อันนี้พาตัวรอดได้

 

แล้วก็เอายังไงดี จะเข้าใจไหม ง่ายๆ สมมติว่าบ้านเรามีพระพุทธศาสนา แต่ไม่ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา คำสั่งคำสอน ประพฤติปฏิบัติล่วงเกินศีลธรรมไป จะฆ่าอะไรก็ฆ่าไปเรื่องตามราว อยากลักทรัพย์ ลักสิ่ง ลักของ ลักเงิน ลักทอง ซึ่งกันและกันเหล่านี้ก็ทำให้ ไปมีปัญหาวุ่นวายในสังคมมนุษย์ สังคมมนุษย์จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข เพิ่นจึงบอกไว้ว่า

 

สีเลนะ สุคะติง ยันติ

สีเลนะ โภคะสัมปะทา

 

จะมีทรัพย์สมบัติได้ ก็เพราะมีศีล ถ้าไม่มีศีลมีธรรมแล้ว ก็เละตุ้มเป๊ะไปเท่านั้นแหละ อ้า อยู่ร่วมกันอย่างไม่มีความสุข ความไว้เนื้อเชื่อใจกันก็จะไม่มี ถ้ามีศีล มีธรรมแล้วก็ ไว้ใจได้ สบายใจได้ พี่น้องทั้งหลายที่อยู่ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ร่วมงานอันเดียวกัน ต้องมีความซื่อสัตย์ สุจริต มีศีล มีธรรมซะก่อน จึงอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขได้ ถ้าไม่มีศีลมีธรรม นับตั้งแต่ลักเล็กขโมยน้อยกันไป ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็เป็นอันว่าเสีย เสียทีเขา

 

(ฝนตก)

เวลานั่นแล้วจะวุ่นวาย บ้านเรา เมืองเรา แน่ะ แตกฮือ ยังไง เข้าร่มๆๆ เออ นิดหน่อยหรอก

 

(ฝนตกหนัก ๑๕ นาที)

 

พูดเรื่องศีล เมื่อกี้นี้กำลังอธิบายเรื่องศีล มันดียังไง ถ้ามีศีล มีธรรมแล้วดียังไง ก็กล่าวไปแค่นี้ เทวดาก็อดไม่ไหว ให้ฝนตกลงมาเลย ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ

 

ให้เรามีศีล มีธรรมกันทุกคนๆ

 

(สาธุ)

โจรก็ไม่มี ผู้ร้ายก็ไม่มี ขโมยขโจรก็ไม่มี มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันทุกหมู่เหล่า มีศีลธรรมกันทุกหมู่เหล่า เราจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข หาความทุกข์ไม่มี เหตุที่มันวุ่นวายกันอยู่ทุกวันนี้เพราะขาดศีลธรรม ขาดศีล ขาดธรรม มีฉก มีลัก มีปล้น มีจี้ มีขโมยของกันและกัน เรียกว่าความซื่อสัตย์สุจริต ในเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่มี มันก็ไม่ต่างกับสัตว์เท่าไหร่ ก็เพราะว่าสัตว์ อยู่อย่างมีศีลธรรมนี่ อยู่อย่างพรหม อย่างเทวดา อยู่ด้วยกันอย่างความซื่อสัตย์สุจริต หัวใจเราเท่านั้นน่ะ อย่าให้มันนอกลู่นอกทางออกไปจากศีลธรรม ให้อยู่ในขอบข่ายของศีลของธรรมไว้เสมอๆ มีสิ่งมีของก็ไม่ต้องห่วง เพราะมีแต่คนซื่อสัตย์ด้วยกันทั้งนั้น คนจะฉก จะลัก จะปล้น จะจี้ซึ่งกันและกันไม่มีเลย มีแต่ความเมตตา ปรานีอารี(อา)รอบ มีการช่วยเหลือเจือจานซึ่งกันและกัน เอาใจช่วยกันอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ประเทศเราจึงค่อยอยู่รอดมา เพราะความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ถ้าเกิดทุจริตเกิดขึ้นในวงการข้าราชการก็ดี ทหารตำรวจก็ดี ชาวบ้านชาวเมืองก็ดี ถ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ก็ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย อยู่ด้วยกันอย่างทุกข์ใจ ระทมตรมใจ น้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง เกิดเป็นมนุษย์แล้วทำไมเป็นอย่างงี้ จะเบื่อหน่ายในการเกิดเป็นมนุษย์ เพิ่นเอารัดเอาเปรียบกันอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้ เรียกว่าขาดศีลธรรม ถ้าอยู่ในศีล ในธรรมกันทุกคนๆ แล้วก็บ้านเมืองสงบสุข มีอะไรก็แบ่งปันกันกินไป ช่วยเหลือเจือจุนกันไป อุดหนุนกันไป ตามมี ตามได้ ดินฟ้าอากาศ เทวดาอารักษ์ทั้งหลายก็นิยมชมชอบ ชื่นอกชื่นใจ แอ่ะ เรากล่าวเรื่องศีลธรรมไปตะกี้หนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวมีฝนโปรยลงมา น่าอัศจรรย์ใจไหม

ถ้าหากประชาชนพลเมืองทั้งหลาย ซื่อสัตย์สุจริตกันก็จะอุดมสมบูรณ์ ด้วยข้าวกล้าในนาก็จะอุดมสมบูรณ์ ทรัพย์สินเงินทองที่เรามีอยู่ทั้งหลายก็รักษาไว้ได้ ไม่มีปล้น ไม่มีจี้ ไม่มีฉก ไม่มีลัก ไม่ขโจรขโมยกันแต่อย่างใด ซื่อที่สุด เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ไว้ ก็ยังอยู่อย่างเก่า ไม่มีขโมยมาขโมยเป็ด ขโมยไก่กันไปกิน นี่เผลอไม่ได้ เพราะอะไร เพราะขาดศีลธรรม ขาดศีล ขาดธรรมแล้วจะไปเอาอะไรกันกับ เออ มาแล้วเหรอไมค์

 

(จัดไมค์)

เอ้ ทำไมไมค์ก็เบี้ยวเรา เว้ย เปิดไฟซะ เออ เออ อย่าเบี้ยวๆ

ไม่ได้เอาอื่นมาพูดหรอก เอาเรื่องศีล เรื่องธรรมมาพูด ความซื่อสัตย์สุจริตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผู้หญิงผู้ชายก็เหมือนกัน ไม่ประพฤตินอกลู่นอกทาง ออกจากขอบข่ายของศีลธรรม อยู่ในศีลธรรมเสมอๆ เพิ่นว่าดินฟ้าอากาศก็ไม่แปรผันไป ช่วยส่งเสริมบุคคลผู้มีศีลธรรม ให้ความปลอดภัยแก่บุคคลกลุ่มที่มีศีล มีธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน หัวใจอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำแค่นี้ไม่ได้ ประพฤตินอกลู่นอกทางไป เทวดาไม่นิยมชมชอบ ไม่อำนวยผลให้ได้รับเต็มเม็ดเต็มหน่วย ขาดๆ เกินๆ แห้งๆ แล้งๆ ไป สังเกตดูเป็นอย่างงั้นเมืองไทยเรา ในดินแดนใดที่มีโจรผู้ร้ายเยอะๆ เกิดแห้งแล้ง ข้าวยากหมากแพง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพราะว่าเทวดาไม่สรรเสริญเยินยอ ไม่อำนวยอวยพร ให้ได้รับความสะดวกสบาย ตามอาชีพและการงาน ในวงการเข้าไปลึกๆ ฝ่ายปกครองที่ ถ้าหากเบี้ยวกันอยู่บ่อยๆ แอนตี้(anti ต่อต้าน)กันอยู่บ่อยๆ โจมตีกันอยู่บ่อยๆ ก็ทำให้ระส่ำระสาย บ้านเมืองนั้นจะอยู่ด้วยความสันติสุขหรือสงบสุขไม่ค่อยได้ และก็มีคนหลายชาติ หลายภาษาด้วย มาให้ความสนุน สนับสนุนเมืองไทย ไหลกันเข้ามาทุกทิศทุกทาง บางทีก็นำความเป็นโจรมา เป็นโจรน่ะไป เผลอไม่ได้ เอาระเบิดไปวาง ใส่สังคมมนุษย์ เผาบ้าน เผาเมืองซึ่งกันและกัน อยู่วุ่นวาย ดีหรือเปล่า ไม่ดีเลย ไม่สงบสุขเลย ไม่ช่วยกันรักษา

เราก็ชอบเมืองอินเดีย ชอบประชาชนอินเดีย เขาสามัคคีกันดีจัง ถ้าหากมีโจรขึ้นมา เข้าบ้านเข้าช่อง เจ้าของบ้านก็ โจโร โจโร โจโรอยู่ใกล้ชิดติดต่อกันไหลออกมา ใครมีหอก มีดาบ มีปืน ก็เอามา ไหนๆ อยู่ไหน โจรอยู่ไหนๆ โจรก็จะรีบไป รีบหนี หลบลี้หนีหน้าไป ไม่ให้เจอ ไม่ประจันหน้าของประชาชน ประชาชนเขาพร้อมเพรียงกัน พร้อมเพรียงกันจริงๆ ถ้าอยู่ให้เขารู้จัก เขาจับตัวได้เท่านั้นก็อานล่ะ เฮอะๆๆ เขาฆ่า เขาตีเอา หัวร้างข้างแตก อืม ฆ่าฟันรันแทงกันไปตามระเบียบของเขา เป็นอย่างงั้นกฎของประเทศอินเดีย พร้อมเพรียงกันจริงๆ ใครจะก่อความเดือดร้อน ให้เกิดมีในสังคมของเขา เขาไม่ยอม ไม่เอาไว้เลยล่ะ ฆ่าทิ้งเลยล่ะ นั่น เรียกว่า

 

สามัคคีมีในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น

ถ้าสามัคคีคลาดไปหรือขาดไปจากหมู่ใดแฮ

ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย

 

เพิ่นว่าอย่างงั้นน่ะ เนี่ยเอาตัวอย่างประเทศอินเดีย กฎหมู่ ไม่เอาตามกฎหมาย เอากฎหมู่เข้าว่า ช่วยกันจริงๆ ในหมู่บ้านหนึ่งๆ ไม่ได้แตก ไม่ได้แยกกันเลย ออกมาเป็นพรวนทีเดียวล่ะ ตายเป็นตาย มันอยู่ที่ไหน จับส่งหายมบาลไปเลย ฮะเฮอะ ส่งไปยมบาล หายมทูตไปเลยล่ะเอ้า ส่งมันไปนรกซะ ส่งมันไปเข้าติดคุกติดตะรางซะ เออ ถ้ามันไม่ตาย ถ้ามันตาย อืม ยมบาลจะจัดการเองหรอก จัดการส่งมันไปนรกเอง

นี่ ความไม่พร้อมเพรียงกัน ไม่มีพลัง เพราะพลังกำลังจะใหญ่จะโตขึ้นได้เพราะความพร้อมเพรียงกันของหมู่

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี สะมัคคานัง ตะโป สุโข

 

เพิ่นบอกไว้

 

สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา

 

ความเพรียงพวก พร้อมเพรียงของหมู่ ยังความเจริญสุขให้เกิดขึ้นแก่หมู่นั้น ถ้าสามัคคีคลาดไปหรือขาดไปจากหมู่ใดแฮ ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย เพราะฉะนั้นพวกเราเป็น อยู่เป็นหมู่ เป็นพวก เป็นกลุ่ม เป็นก้อนกันอย่างงี้ ให้เอาธรรมสามัคคีมาปฏิบัติในใจไว้ ถ้ามีการมีงานอะไรเกิดขึ้น ไหว้วานกันให้มาช่วยเหลือ ปึดเดียวสำเร็จเลย ที่อยู่ที่อาศัย ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใจจืด ไม่ใจดำ ไม่อำมหิตต่อกันและกัน เอาใจช่วยเหลือกันจริงๆ นั่น เขาเรียกว่า

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

 

ความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข ถ้าแตกแยกกันแล้ว ความทุกข์ระส่ำระสาย ไม่มีใครเหลียวแล ไม่มีใครช่วยเหลือ ถ้าร้องโวยวายที่ไหนก็ไม่มีใครมาช่วย อย่างนี้เรียกว่าแตกแยกกัน พวกเราต้องเอาใจใส่กันที่สุด เราอยู่ร่วมกันอย่างพี่ อย่างน้อง อย่างสายโลหิตเดียวกันจริงๆ เมืองไทยเราอยู่รอดมาเพราะ

ความสามัคคีดีต่อกัน จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง

 

นั่น ได้ยินไหมเพลงอันนี้ เราจำได้แต่สมัยเราเป็นเด็ก

 

สามัคคีมีในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น

สามัคคีคลาดไปหรือขาดไปจากหมู่ใดแฮ

ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย

 

เขาไม่เกรงใจเรา แต่ว่าบ้าน หมู่บ้านยังเอาใจใส่เราอยู่ ทุกคน ทุกครอบครัว ยังเอาใจใส่ดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอาใจช่วยกัน ทุกข์ยากลำบากล่ะ ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดายกัน เอาใจใส่จริงๆ เอ้ ความสามัคคีในหมู่ พาให้เกิดสุขเพิ่นว่า

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี สะมัคคานัง ตะโป สุโข

สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา

 

ยังความเจริญได้สำเร็จให้เกิดขึ้นในหมู่นั้น ให้เข้าใจ ถ้าเปรียบเข้ามาในร่างกายของเรานี้ก็ได้ เหตุที่เรามีสุขภาพแข็งแรงอยู่ มีความสามารถสูงอยู่ ก็เพราะว่าธาตุทั้ง ๔ มันกลมกลืนกัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ในร่างกายของเรา มันสัมพันธ์กันอยู่ ทำงานร่วมกันอยู่ เลือดลมก็วิ่งได้สะดวก ธาตุไฟเผาอาหารให้ย่อยก็ทำงานตามปรกติ กินอะไรลงไปก็ไม่อืด ไม่เฟ้ออะไร มันก็ทำงานของมันตามระเบียบ กินลงไปๆ เต็มท้องแล้ว มันมีหน้าที่ย่อย เพราะธาตุไฟยัง ยังมีปรกติอยู่ เราหายใจเข้าให้ ธาตุไฟความอบอุ่นของร่างกายก็ยังทำงานตามปรกติ ก็ทำให้ร่างกายเราแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่เบียดเบียน ถ้ามันไม่สามัคคีกันลองดูสิ เป็นยังไง ธาตุลมก็ไม่เข้า หายใจเข้าก็ไม่เข้า หายใจออกก็ไม่ออก ธาตุลมไม่เข้าไปช่วยความอบอุ่นของร่างกาย ธาตุไฟอันนั้นอบอุ่นดี ธรรมดาปรกติ หมอมาสำรวจตรวจตราดู เลือดลมวิ่งได้สะดวกสบายอยู่ ไม่มีอะไรที่ทำให้เสียหาย เอายาอันนั้นใส่ อันนี้ใส่ ก็เต็มขึ้น แข็งแรงขึ้น นี่เขาเรียก ความสามัคคีของธาตุทั้ง ๔ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ทั้ง ๔ มันทำงานช่วยกันอยู่ เออ อันนี้เราอยู่เป็นหมู่ เป็นพวกหมู่ใหญ่ อยู่คนละครอบครัวแต่หลังคา แต่ว่าเอาใจช่วยกันจริงๆ จังๆ ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ถึงคราวล้ม คราวตายก็ดูแลกันได้จนตลอด ช่วยกันเอาไปเผา ไปฝังให้อย่างดี ไม่ต้องเดือดร้อน ผู้เป็นเจ้าภาพ หรือเป็นเจ้าของงานก็เบาใจ อ้า นั่นเห็นไหม เจ้าของงานก็ภาคภูมิใจ ร้องไห้อยู่ โฮๆ อยู่ก็ตาม ถ้าเห็นพี่น้องมาช่วยเหลือ เอาอก เอาใจไม่ทอดทิ้งเรา ก็ยิ้มขึ้นมาได้ นี่เรียกความพร้อมเพรียงของหมู่ให้เกิดสุข มีความสุข ทำงานใหญ่โตขนาดไหน สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เวลานี้ก็ต้องการความสามัคคีกันอยู่ อย่างวัดโน้น เพิ่นก็ก่อสร้างเจดีย์ วัดนี้ก็สร้างเจดีย์ สร้างศาลา สร้างกุฏิ วิหาร ถ้าญาติโยมไม่ไปช่วยจะว่ายังไง นี่ให้เอาใจช่วยกันจริงๆ จังๆ แล้วก็ทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่ลำบากในการก่อสร้างแต่อย่างใด เพราะว่า ต่างคน มีสลึงก็พึงบรรจบให้ครบบาท อย่าประมาทเงินทองของประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง ถ้ามีมาก มีน้อยไปใช้มากจะยากลง เป็นหนี้เป็นสิน มันเลยพึงพืด เป็นหนี้เป็นสินเขา ทำไง ยิ้มก็ไม่ออกล่ะปะเนี่ย อ่ะ ของจะอยู่จะกินก็หมดแล้ว ไม่มีอะไรจะสืบต่ออายุต่อไปแล้ว ก็น้อยใจตัวเอง ถึงไปฆ่าตัวตายก็มี หลบลี้ หลบลี้หนีหน้า ชาวบ้านชาวเมืองไม่ช่วย เอาตัวรอดด้วยการไปฆ่าตัวเองให้ตายซะดีกว่า หึ เออ คิดสั้น ไม่ได้คิดกว้างขวางออกไป ให้รักษาชีวิตของเรา ก็เหมือนชีวิตของผู้อื่น ชีวิตของผู้อื่น คนอื่น ครอบครัวอื่น บ้านอื่น เมืองอื่น เขาจะช่วยเหลือกันได้ เราอยู่หมู่บ้านแค่ ตลาด อะไรเนี่ย อำเภออู่ทอง อ่ะ เฮอะ อู่ทอง ก็คน เป็น... เป็นคนไม่จน เป็นคนรวย ถึงได้ตั้งชื่อว่าอู่ทอง อู่เงิน อู่ทอง เกิดขึ้นที่อำเภอนี้ ความพร้อมเพรียง มีน้ำใจไมตรีจิตมิตรภาพ ไม่แตก ไม่แยกกัน สู้ เราสู้ ใครหรือจะมาแหยมได้ป่ะเนี่ย คนต่างบ้านต่างเมืองมาเห็นความพร้อมเพรียงสามัคคีของพวกเรา ก็ชื่นชมยินดี ปรีดา แล้วก็ปราโมทย์ด้วย ชื่นอกชื่นใจ พี่น้องทั้งหลายมีความช่วยเหลือเจือจุนซึ่งกันและกัน ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างนี้เป็นตัวอย่าง เพิ่นยังว่า

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี สะมัคคานัง ตะโป สุโข

สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา

 

ความพร้อมเพรียงของคนหมู่ใหญ่ ย่อมสร้างความเจริญให้ความสำเร็จได้ทุกอย่าง อยู่ในกรุงเทพฯ ก็มีทางออกจากกรุงเทพฯ กี่สาย นี่ความพร้อมเพรียงของคนหมู่ แล้วเพิ่นก็ตั้งกองทุนไว้ด้วยน่ะ ทางรัฐบาลตั้งกองทุน กองงบประมาณแผ่นดินมาช่วย ก็ยังว่าสร้างทางให้เจริญสำเร็จมาได้ ได้รับความสะดวกสบาย เพราะว่าผู้หลักผู้ใหญ่ ฝ่ายปกครองบ้านเมือง ไม่ทอดทิ้ง นิ่ง... นิ่งเดียวดาย นิ่งดูดาย เอาใจใส่กันอยู่อย่างงั้น เออ บ้านนั้นยังไม่เจริญ บ้านนี้ยังไม่เจริญ เขาของบประมาณไปสร้างหนทาง ก็ไปดูแลเขาหน่อยไป พวกกรมทาง แขวงการทางอะไรๆ ไปดูแลเขาหน่อย ช่วยเหลือเขาหน่อย ของบประมาณแผ่นดินก็ได้อีก เพราะเราพร้อมเพรียงกัน ไม่ทอดทิ้งนิ่งดูดายกัน ถ้าแก่งแย่งกันอยู่ ขอแรง ขอวาน อืม ขอแรงร่วมไม้ร่วมมือกัน ก็ไม่เอาใจใส่ทำนองนี้จะเป็นยังไง ความเจริญจะมาสู่บ้านเราได้ยังไง อืม

ถ้าความพร้อมเพรียงในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น

ถ้าความพร้อมเพรียงขาดไปจากหมู่ใดแฮ

ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย

 

เออ พูดเล่นๆ หรอก แต่ว่าให้ฟังเอา พูดเล่นๆ ไปตามความเห็นของตัวเอง เหตุที่บ้านเมืองเรามีหนทางเจริญ ทุกสายๆ ไปสายไหนก็ได้ สายนอกก็ได้ ไปในรั้ว ในสวนที่ไหน ก็มีหนทาง ลาดยางไปหมดทุกแห่ง เพราะฉะนั้น ขอให้ยึดเอาเป็นหลักปฏิบัติทางใจของเราไว้ให้มาก ให้มั่นคง อย่าง่อนแง่น อย่าคลอนแคลน ต้องใจหนักแน่น อย่าทอดทิ้ง อย่านิ่งดูดาย ในกิจการงานของเพื่อนมนุษย์ เหมือนการเป็น การตายเกิดขึ้นมาอย่างงี้ ถ้าปล่อยให้แต่ครอบครัวเขาทำด้วยครอบครัวตัวเองเท่านั้น ไม่พอ ไม่เพียงพอ ช่วยกัน ไปแบก ไปหาม นำไปเผา ไปฝัง ให้เรียบร้อย เออ ถ้าหมู่บ้านไม่ทอดทิ้งกันแล้ว เรียกว่าเบาใจแล้ว เพราะว่าบ้านเราพร้อมเพรียงกันดี สามัคคีกันทั่วหน้า ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใจจืด ไม่ใจดำ ไม่อำมหิตผิดมนุษย์ เป็นผู้มีคุณธรรมในใจทุกคนๆ และก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขไหมล่ะ ทำอะไรไม่หนักใจเลย เออ

นี่ขอฝาก อันนี้ขอฝากญาติโยมทุกคน อย่าแตกแยกกันเป็นหลายสถาน เออ แยกกัน แตกแยกกันไม่ดี ความแตกแยกกันนั่น บ้านเมืองรักษามั่นคงไว้ก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่แตก ไม่แยกกันน่ะ ความมั่นคงของชาติก็ยังมีอยู่อย่างนั้น ช่วยเหลือกันอยู่อย่างนั้น ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใจจืด ไม่ใจดำต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมบ้านเดียวกัน อยู่อำเภอเดียวกัน อยู่จังหวัดเดียวกัน รวมความไปทั้งประเทศด้วย ประเทศเดียวกัน ทั้งหมดประเทศเรา ถ้าหากมีความพร้อมเพรียงสามัคคีดีต่อกัน จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง เออ อ่ะเนาะ(นะ) เออ เห็นไหม เออ เราเคยร้องเพลงมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน รักไทย รักความเป็นไทยของไทย ยิ่งชีวิตจิตใจล้ำเหลือ เลือดเนื้อต้องพลี พลี พลี พลีชาติ พลี อืมพลีน้ำใจปันไปหาหมู่หาพวก อย่าบริโภคคนเดียว อย่าเอาคนเดียว แจกแบ่งไปให้ทั่วให้ถึง อย่างนี้หนี้สินของประชาชนก็หมดไป เพราะสามัคคีกัน เออ เพิ่นกลมเกลียวกันอยู่เสมอ อะไรอ่ะสมเด็จพระเทพฯ สมเด็จฯ (เจ้า)ฟ้าจุฬาภรณ์ฯ เหล่านั้น ท่านนิ่งดูดายหรือเปล่า งานการอะไรเกิดขึ้นที่ไหนๆ ไปก่อนเขาล่ะ ไปในงานก่อนเขา ไปเปิดงานให้เขา ให้พี่น้องทั้งหลายได้เป็นตัวอย่าง ไม่เห็นแก่เกิดความเหนื่อยยากลำบาก เฉพาะตัวของพระองค์เอง แต่ละพระองค์ๆ เอาแต่ความสุขส่วนตน แล้วเป็นยังไง ในหลวงก็อะไร อยู่แต่ในวังไม่ได้ไปไหน ไม่ดูแลไพร่ฟ้าประชาชนเลย นี่ท่านไม่ได้อยู่เฉยๆ นั่งก็คิด นอนก็คิด คิดอยู่อย่างงั้น คิดหาสูตรฝนเทียม ทำยังไงเราจะบันดาลให้ฝนเทียมมาได้ ให้ฝนตก ถ้าเกิดฤดูกาล ตกต้องตามฤดูกาล เพิ่นนั่งเข้าสมาธิหรืออะไร เพิ่นนั่งคิด นอนคิด หาสูตรฝนเทียม จนได้สูตรขึ้นมา มาทำฝนเทียม ถ้ามันแห้งแล้งตรงไหน ตรงโน้น ตรงนี้ เอาเครื่องโปรยฝนไปโปรย ที่นั้นๆ เขาลำบาก ลำบากจริงๆ ก็ได้รับผลเหมือนกัน บางทีก็ท่วมเอาซะเลย มันมากเกินไป ปล่อยฝนเทียม แต่ว่ามัน อุตุนิยมมาพร้อมๆ กันปะเนี่ย มันมาพร้อมๆ กันทั้งของอุตุนิยมก็ดี ทางฝนเทียมก็ทำ ฝนเทียมโปรยลงไป มันก็เอาหนักสิปะเนี่ย จนท่วมบ้าน ท่วมเมือง เออ อ้า นี่เขาเรียกว่า มันเกิดจาก อืม น้ำพระทัยของในหลวงก็ว่าได้ ทำให้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา จนว่าท่วมบ้าน ท่วมเมืองบางแห่งบ้านใกล้ๆ อยู่ใกล้ตลิ่ง ใกล้ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำตาปี แม่น้ำอะไรๆ มันก็ใกล้ตลิ่ง มันก็มากันใหญ่ พร้อมด้วยฝนเทียมของในหลวงไปบวกกันเข้า มันก็เอาใหญ่สิปะเนี่ย ทำให้บ้านเมืองจนเสียหายร้ายแรง ท่วมไร่ ท่วมนา ข้าวกล้าในนาเสียหายไปหมดอย่างนี้ เห็นไหม น้ำใจในหลวง ท่านไม่ต้องการอยากจะให้ท่วม ไม่แห้ง ไม่แล้ง ต้องการให้อุดมสมบูรณ์แค่นั้น ตรงไหนมันขาดแคลนก็พยายามช่วยเหลือ ตามความสามารถของท่านเอง มีแล้ว หน่วยฝนเทียม ท่านเตรียมตัวไว้เสมอ หากบ้านเมืองแห้งแล้ง ตรงไหนๆ เตรียมไว้แล้ว เพื่อจะไปช่วยเหลือเขา ให้ทันท่วงที ให้ได้ทำไร่ ทำนา เสมอภาคกันไป อ้า แต่บางปี ไปปล่อยทางภาคอีสานโน้น มีลมใหญ่มาพัดเอาไปโน้น ไปประเทศจีน ไปประเทศญวน ไปประเทศอื่นโน่น ไปตกอยู่เมืองอื่นโน้น ฝนเทียมของไทย อ่ะ เฮอะ หึ แต่ว่าลมมาอุ้มเอาไป อืม อ้า อันนี้ก็ไปเดือดร้อนเขาอยู่ทางอื่นบางปะเนี่ย

เพราะฉะนั้น น้ำใจ เมตตาปรานี อารี(อา)รอบของในหลวง ท่านนั่งคิด นอนคิด จนได้สูตรฝนเทียมขึ้นมา ช่วยเหลือไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้อุดมสมบูรณ์ แต่ไม่ต้องการให้ท่วมอะไรหรอก ต้องการให้ได้ทำไร่ ทำนา ทุกภาค ภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ แต่ว่าอะไรมัน ถล่มบ้าน ถล่มเมือง หรือทางจังหวัดภาคเหนือ เชียงใหม่ ลำปาง พู้น(โน้น) มันเกิดอะไรขึ้นทางโน้น เกิดลมพายุใหญ่ บ้านเมืองพังถล่มทลาย สิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย เจดีย์ก็พัง หลังคาโบสถ์ หลังคาอะไรเปิดเปิงไปหมด อยู่ทางภาคเหนือนู้นเลย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดนู้นไปโน้น ลำปางขึ้นไปทางเชียงใหม่ ลำปาง ขึ้นไปทางแม่ฮ่องสอน ไปทางโน้น นั่นก็อุบัติเหตุ หรือว่า มันเกิดอุบัติเหตุยังไงขณะนั้น ทำให้หลังคาเปิดโปง บ้านเมืองพังถล่มทลาย หลังคาโบสถ์ หลังคาวิหาร พังไปตามๆ กัน บ้านเมือง ที่อยู่ที่อาศัยก็เดือดร้อนตามๆ กันไป อันนั้นเป็นอุบัติเหตุทางธรรมชาติของมันเอง ไม่ใช่อำนาจฝนเทียมของในหลวงหรอก มันเป็นเอง ลมไต้ฝุ่นหรือลมอะไร ลมหมุน มันหมุนขึ้นมา มัน เป็นธรรมชาติของมัน ลมหมุน ทำให้น้ำทะเลป่วนปั่น หมุนเหมือนกัน มันหมุนเอาน้ำทะเล ดูดขึ้นไปทางอากาศ ขึ้นไปทั้งปูทั้งปลา ขึ้นไปวน มันดูด ลมใหญ่ดูด ตกลงมา มานี่ปลาเข็ม ปลาอะไร ตัวเนื้อแข็งๆ หน่อย ดิ้นตึดตาดๆ ตามถนนในบ้าน เราเนี่ยมันมายังไง ปลาเนี่ยมันมายังไง มันมากับลมหมุนอันนั้น ลมหมุนเอาน้ำทะเลมา เอาปลามาด้วย มาตกใส่แผ่นดินที่ไม่มีลมหมุน ดิ้นอยู่ตามถนนหนทาง ตึดตาดๆ อยู่ ปลาทั้งหลายมันหมุนเอาจากทะเลนู้นล่ะมา ปลาตัวไหนมันแข็งแรง มันก็ไม่ยอมตาย อ้า มันก็วิ่งไปตามน้ำตึดตาดๆ ไปเรื่อยๆ ดังนี้ก็มี อ้า

เพราะฉะนั้น ขอฝากความสามัคคีนี้ให้ทุกคนๆ จำไว้ พร้อมกับ ความสามัคคีในหมู่ ในพวก มีในหมู่ ในความสุข ความเจริญย่อมมีในหมู่นั้น ถ้าสามัคคีขาดไป เป็นคนใจจืด ใจดำ อำมหิต ไม่ช่วยเหลือเจือจานเพื่อนมนุษย์ แล้วจะเป็นยังไง บ้านเราจะเอาตัวรอดไหม นี่ เพราะฉะนั้น เอาตัวไม่รอด เพราะว่าบ้านเมืองไม่เหลียวแล ไม่เอาใจใส่ ไม่เหลียวแล

ดูแลกัน ช่วยเหลือกันอย่างนี้ ทำให้บ้านเมืองเจริญ

 

ความสามัคคีมีในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น

ถ้าสามัคคีคลาดไปหรือขาดไปจากหมู่ใดแฮ

ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย

 

อันนี้เป็นความจริงน่ะ หมู่นั้นฉิบหาย แตกระส่ำระสายกัน แยกกันไป คนละหน ละแห่ง ก็ง่ายดี ดีสำหรับข้าศึกศัตรูที่เข้ามาแย่งบ้าน แย่งเมืองได้อย่างสบาย ถ้ายังกลมเกลียว กลมกลืนกันอยู่ ไม่มีใครกล้าแหยม ไม่กล้าแหยม อย่าไปแหยมกับเขา ประเทศไทยมันเอาจริงเอาจัง เว้ย อ้า เหมือนประเทศอินเดียเป็นตัวอย่าง ช่วยกันเวลาโจรเข้าบ้าน ร้องประกาศว่า โจโร โจโร ช่วยด้วยๆ อ้า โจรเข้าบ้านเรา มาแย่งสิ่งของ รุมกันมาบ้านนั้นเท่านั้นแหละ ใครมีหอก มีดาบ มีปืน ก็ออกมาไล่กัน เรียกว่า ขวัญหนีดีฝ่อแหละ พวกเป็นโจรทั้งหลายกลัว เขาออกมา เขาช่วยกันจริงๆ แม้แต่หมายังช่วยเลย เออ ถ้าคนร้องเรียกให้ช่วย หมาก็ปล่อยออกมาทุกแห่ง ไล่ฟัดโจรผู้ร้าย โอ้ย หน้าดุจัง เว้ย เออ ช่วยกัน แม้แต่หมา มันก็ไม่นอนนิ่งนอนใจว่าเจ้าของ ผู้เป็นเจ้าของร้องเรียกให้ช่วยกันๆ มันก็ออกมาปฏิบัติหน้าที่ของมันเต็มที่ ใครเป็นโจร ใครเป็นผู้ร้าย ก็ตัดใจรีบไปแหละ อ้า หนีทันก็ทัน หนีไม่ทันก็กัดคอ ล้มลงกัดคอ ฟัดกันก็ตาย คาปาก หมาก็มี เนี่ย

เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ เราอย่าไปใจอ่อน เพื่อนของเรามีเยอะแยะ บ้านเรามีเยอะแยะ ล้วนแล้วแต่มีทุ่มเทน้ำใจช่วยเหลือกันทั้งนั้นมาโดยตลอด เอาตัวรอดมาได้จนเป็นเอกราช ชาติไทยเท่าทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น ความช่วยเหลือเจือจุนซึ่งกันและกันนี่ มันดี มีประโยชน์ ทำให้บ้านเมืองเจริญได้ ลูกหลานเราอยู่เย็นเป็นสุข เพราะว่าปู่ย่าตาทวดของเรา เป็นคนนักสู้ นักเสียสละมา ไม่เอาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ใช่อย่างงั้น ยังสู้อยู่ต่อไป ดังนี้

ฟ้า มันไปอยู่ทางโน้นแล้ว มันไปตรงโน้น อ้าว มาแล้วๆ ปัดๆๆ เออ อยู่ๆ ไปๆ ไปทางจังหวัดไหน อยุธยา ไปทางโน้นเหรอ ที่เราไม่มีแล้ว หยุดแล้ว อ้า ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีของเราพากันมาเนี่ย ทำให้เกิดลมฟ้านิดหน่อย พอให้เย็นๆ โอ้ย เขากำลังร้อนแรง เขากำลังชุมนุมกันอยู่ที่นี่ ถ้าไม่ตกลงไปเนี่ย เขาก็จะร้อนมากเนาะ(นะ) เปลืองพัดลม เฮอะ ตกไปนี่เถอะ ตกสักหน่อยหนึ่ง พอให้มันเย็น ตกมาตามปรารถนาแล้ว อันนี้ความพร้อมเพรียงของหมู่ ทำให้เกิดสุขได้ เทวดาทั้งหลายก็อนุโมทนาสาธุการ

(สาธุ)

 

ขอให้มีความสุขความสำราญต่อไป ชาติหน้า

 

(สาธุ)

 

ถ้าจะพรรณนาไปถึงร่างกายของเรา มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าธาตุในร่างกายของเราทำงานปรกติ เลือดก็สูบฉีดไปเลี้ยงร่ายกายได้ทั่ว ลมในร่างกายเราก็สูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะทุกส่วน แขน ขา ไม่เป็นอัมพฤกษ์ ไม่เป็นอัมพาต เพราะว่าเลือดลมวิ่งได้เสมอๆ เออ ในกระเพาะอาหารของเรา เขาก็ย่อยถูกต้อง เออ ตามนั้น เออ

ถ้ากินของเสียแล้วท้องเสีย แล้ว แม่... แม่อะไร มาไม่ได้ ท้องเสีย ทำบุญเลี้ยง แม่... แม่บุญช่วย เฮอะๆ มาไม่ได้ ท้องเสีย ท้องเดิน แน่ะ ไปกินอาหารอะไร สุกๆ ดิบๆ หรือเปล่า ทำให้เกิดท้องเดินขึ้นมา มาประชุมกับหมู่ไม่ได้ มาเป็นเจ้าภาพในงานนี้ไม่ได้เลย เพราะว่าท้องมันไม่อำนวย เสีย ท้องเสีย กินของ ไม่เคยกินส้มตำ ไปกินส้มตำเด้ ก็เลยท้องเสีย อ้า นี่พูดเล่นๆ หรอก แต่ว่าเป็นความจริง ความจริงมาพูด ดูแลอาหารการกิน อะไรเป็นพิษ เป็นภัยแก่ร่างกาย ก็อย่าไปแหยมน่ะ เพิ่นให้กินแต่ของสุกๆ อย่าไปกินของดิบๆ ปลาแดก ปลาร้า ก็ทำให้มันสุกซะก่อน จึงค่อยกิน ถ้าไปกินดิบๆ ดิ๊บๆ ส้มป่า ส้มอะไรแล้ว กินดิบๆ ลงไป พาให้ท้องเสีย ธาตุทั้ง ๔ ไม่ทำงาน ไม่สมดุลกัน จะลงไปช่วยก็ ช่วยไม่ได้ปะเนี่ย เพราะว่ากินของเสียเข้าไปในท้องแล้ว งั้นก็จัดการซะ ระบายซะ เอาออกซะ ของมันเสียทั้งหลาย ดังนี้ เพราะฉะนั้น อะไรมันเสียๆ อยู่ในตัวของเรา เอามันออกซะ อืม ทิ้งมันซะ ถ้ามันท้องผูกมา ก็ระบายเอาแต่พออยู่ได้ ทนได้ อย่าไปกินจนระบายไม่หยุด ก็ถึงความตายได้เหมือนกัน ขี้ไม่หยุด ระบายไม่หยุด เออ ท้องขึ้น ท้องเสีย ทำให้ท้องเสีย ธาตุทั้งหลายไม่สามัคคีกันแล้ว ก็ทำให้เกิดแอคซิเด็น(accident อุบัติเหตุ เรื่องไม่คาดคิด)ขึ้นมา เขาว่าแอคซิเด็น(accident อุบัติเหตุ เรื่องไม่คาดคิด)ขึ้นมา ทำให้ท้องเสีย เออ เสียงานเสียการของเราด้วยอ่ะ เป็นผู้นัดหมายให้หมู่มาที่นี่ ตัวงานใหญ่ เจ้างานใหญ่ แล้วท้องเสียอยู่บ้านมาไม่ได้เลย นี่เป็นตัวอย่าง เฮอะๆ

เพราะฉะนั้น อย่าเห็นแก่ปาก แก่กิน ให้บันยะบันยังไว้บ้าง มีอด มีทนไว้บ้าง ของใดที่จะท้องจะเสียก็อย่าไปฝ่าฝืนกิน มันจะเป็นโทษแก่ร่างกาย รักษาอนามัยให้ถูกต้อง ชีวิตของเราก็อยู่ยืนนาน ชีวิตเราจะอยู่ยืนนาน ก็เพราะอาชีวอนามัย อ่ะน่ะ เออ ให้รู้จักอนามัยอนาเมยไว้ รักษาไว้ พูดมามันเป็น ปกิณณกะ ขอให้นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนๆ เองเถิด อัปปมาทธรรม ไม่มีความประมาท ตั้งอกตั้งใจ ไปประพฤติปฏิบัติไปได้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ต่อแต่นั้นก็จะได้ประสบพบเห็นแต่ความสุขความเจริญทั้งทางคดีโลกและทางคดีธรรมทุกประการ รับประทานฝอยมา ก็ยุติด้วยเวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

 

(สาธุ สาธุ สาธุ)

 

อ้า ฝอยเอา

 

 

สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง

ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

 

 

อานิสงส์ของการรักษาศีล

 

อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ

สิกขาบท ๕ เหล่านี้

 

สีเลนะ สุคะติง ยันติ

ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ถึงสุคติ

 

สีเลนะ โภคะสัมปะทา

ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งโภคทรัพย์

 

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ

ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้ไปถึงนิพพาน

 

ตัส๎มา สีลัง วิโสธะเย

เพราะฉะนั้น ศีล จึงเป็นสิ่งที่วิเศษ

 

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

ความพร้อมเพรียงของหมู่ ให้เกิดสุข

 

สะมัคคานัง ตะโป สุโข

ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงกัน ให้เกิดสุข

 

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ธรรมบท

อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ ข้อ ๒๔)

 

สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา

ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์

ทรงผูกขึ้นแปลได้ความว่า

“ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ยังความเจริญให้สำเร็จ”

 

สัญลักษณ์ของความสามัคคีนั้นเห็นได้จากการ

ประดิษฐานตราแผ่นดินที่มีคาถาภาษิตว่า

“สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฒิสาธิกา”

ซึ่งแปลว่า ความพร้อมเพรียงของคนทั้งปวง

รวมกันเป็นหมวดหมู่ด้วยความสามัคคี

เป็นเครื่องทำความเจริญให้สำเร็จ

อยู่ที่เสาทั้ง ๔ มุมของพระบรมรูปทรงม้า

ในขณะที่ชาติไทยกำลังถูกล่าเป็นเมืองขึ้น

 

เพลงรวมไทย

 

(สร้อย) รวมไทยร่วมใจ

รักษาอำนาจชาติไทย

เทอดไทยทูนไทย

ด้วยน้ำใจมั่นคง

 

สามัคคีระหว่างไทยคงได้ผล

ไทยทุกคนรวมทั้งชาติและศาสนา

เหมือนหนึ่งได้เกิดกำเนิดมา

จากบิดรมารดาคนเดียวกัน

 

(สร้อย)

 

ถ้ารวมไทยได้สิ้นทุกถิ่นแคว้น

คงจะเป็นปึกแผ่นสามารถมั่น

ขอให้ไทยสามัคคีมีต่อกัน

จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง

 

(สร้อย)

The Rainmaking Story

 

“เราได้หยุดอย่างเป็นทางการที่ทางแยกกุฉินารายณ์และ

สหัสขันธ์ ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าได้สอบถามราษฎรเกี่ยวกับ

ผลิตผลข้าว ข้าพเจ้าคิดว่าความแห้งแล้งต้องทำลาย

ผลิตผลของพวกเขา แต่ข้าพเจ้าต้องประหลาดใจ เมื่อ

ราษฎรเหล่านั้นกลับรายงานว่า พวกเขาเดือดร้อนเพราะ

น้ำท่วม สำหรับข้าพเจ้าเป็นการแปลก เพราะพื้นที่แถบนั้น

มองดูคล้ายทะเลทราย ซึ่งมีฝุ่นดินฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป”

 

“...จากขณะนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงปัญหาที่

ดูเหมือนว่าแก้ไม่ตกและขัดแย้งกัน เมื่อมีน้ำ, น้ำก็มากไป,

ทำให้น้ำท่วมพื้นที่ เมื่อน้ำลดก็แห้งแล้ง เมื่อฝนตก,

น้ำท่วมบ่าลงมาจากภูเขาเพราะไม่มีสิ่งใดหยุดเอาไว้

วิธีแก้คือ ต้องสร้างเขื่อนเล็กๆ (Check dams) จำนวนมาก

ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาต่างๆ จะช่วยให้กระแสน้ำ

ค่อยไหลอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและ

อ่างเก็บน้ำเล็กๆ สิ่งนี้จะแก้ไขปัญหาแห้งแล้งได้ในฤดูฝน

น้ำที่ถูกเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำและจัดสรรน้ำให้ในฤดูแล้ง

ปัญหาหนึ่งที่ยังคงอยู่ คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภาค

มีชื่อเสียงว่าเป็นภาคที่แห้งแล้ง ขณะนั้นข้าพเจ้าได้แหงนดู

ท้องฟ้าและพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่าน

พื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร

ที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น

ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทำฝนเทียม...”

 

 

“เมื่อข้าพเจ้าเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ไปอำเภอบ้านโป่ง

เพื่อพิธีการทางศาสนา ในการเดินทางกลับ เมฆหนาทึบ

จำนวนมากมีท่าทีว่าจะคุกคามและขัดขวางการบินของเรา

ม.ร.ว.เทพฤทธิ์จึงบินด้วยเครื่องบินปีก นำหน้าเส้นทางบิน

ของเรา, โปรยแคลเซียมคลอไรด์ตลอดทางจนถึง

พระตำหนักจิตรลดา พระราชวังดุสิต ผลก็คือเมฆเหล่านั้น

แยกออกเป็นเส้นทางโล่ง ทั้งสองด้านของเมฆแยกออก

มองดูคล้ายกำแพงยักษ์สองข้าง เมื่อเรามาถึงตำหนัก

จิตรลดา กำแพงทั้งสองเริ่มปิดเข้าหากันและมีกระแสลม

แรง ทำให้เฮลิคอปเตอร์เกือบบินกลับฐานที่ตั้งไม่ได้

และไม่ช้าก็เกิดฝนตกหนักมาก ดังนั้น แม้ว่าประสบการณ์

ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จในการทำลายเมฆ, แต่ขณะ

เดียวกัน, เป็นความสำเร็จ ในการปฏิบัติการทำฝนด้วย”

 

(แปลความจาก The Rainmaking Story

พระราชบันทึกภาษาอังกฤษ

ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)

รัชกาลที่ ๙

 

 

วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘

คือ จุดเริ่มต้นแนวพระราชดำริของโครงการทำฝนเทียม

 

เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงโปรดเกล้าฯ

ให้ย้ายสถานที่ทดลองจากวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

มาทดลองปฏิบัติการที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

เนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นที่ที่เหมาะสม คือ

มีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย สามารถระบายน้ำลง

ทะเลได้อย่างรวดเร็ว หากฝนตกในปริมาณมากเกิน

อีกทั้งมีส่วนราชการที่พร้อมอำนวยความสะดวก

และที่สำคัญ คือ อยู่ใกล้พระราชวังไกลกังวล

สามารถเสด็จมาบัญชาการ หรือทรงร่วมวางแผน

การทดลองร่วมกับม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ตลอดจนติดตาม

ผลของเมฆทดลองได้อย่างสุดสายตาด้วยพระองค์เอง

 

“ฝนสามัคคี”

เคยเกิดน้ำท่วมมาแล้วในจังหวัดพัทลุง

เพราะขณะที่ทำฝนทางวิทยาศาสตร์อยู่นั้น

บังเอิญมีร่องความกดอากาศต่ำผ่านมาอีกทางหนึ่ง

การทำฝนเทียมอยู่อีกทางหนึ่ง

ได้ดึงดูดเอาความกดอากาศต่ำนั้นเข้ามาบังเกิดเป็นฝนตก

ตามธรรมชาติอย่างหนัก ถึงกับเกิดน้ำท่วมได้

แต่เรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ

เพราะก่อนที่จะทำฝนทางวิทยาศาสตร์ก็จะต้องมีการ

สำรวจทางอากาศอย่างแน่นอนอยู่เสมอ ผมบังเอิญเคราะห์ดี

ได้ยินมีพระดำรัสเรียกฝนคราวนี้ว่า ฝนสามัคคี

(สยามรัฐ ฉบับวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕

ความคิดเห็นของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช บทคัดย่อบางส่วน)

สารฝนหลวง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงห่วงใยยิ่ง

ในการนำสารเคมีฝนหลวงไปใช้ในการปฏิบัติการ

ดังนั้นก่อนที่จะทรงเห็นชอบให้นำไปใช้ จึงต้องมีการ

วิเคราะห์วิจัยอย่างถี่ถ้วน ถึงผลกระทบว่า จะเป็นอันตราย

ต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์ พืช และสัตว์ ก่อให้เกิดมลภาวะต่อ

สิ่งแวดล้อมหรือไม่ ทรงให้เลือกสารเคมีที่ผลิตในประเทศ

เท่าที่จะทำได้ และราคาไม่แพง เพื่อใช้ในการทำฝนหลวง

ทั้ง ๓ ขั้นตอน คือ ก่อกวน-เลี้ยงให้อ้วน-โจมตี

 

สารฝนหลวงสูตรสร้างแกนกลั่นตัวของอากาศ

(ดูดซับความชื้น อย่างเดียว)

๑. สูตร๑ เกลือแป้ง (Sodium Chloride)

๒. สารฝนหลวง สูตรฝนหลวง ท๑

 

สารฝนหลวงสูตรร้อน

(ดูดซับความชื้น คายความร้อน ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น)

๑. สูตร๖ แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride)

๒. สูตร๘ แคลเซียมอ๊อกไซด์ (Calcium Oxide)

 

สารฝนหลวงสูตรเย็น

(ดูดซับความชื้น ดูดความร้อน ทำให้อุณหภูมิต่ำลง)

๑. สูตร๔ ยูเรีย (Urea)

๒. สูตร๑๙ แอมโมเนียมไนเตรท (Ammonium Nitrate)

๓. สูตร๓ น้ำแข็งแห้ง (Dry Ice)

 

ตำราฝนหลวงพระราชทาน

 

ขั้นตอนที่ ๑ ก่อกวน

สร้างเมฆให้เกิดขึ้นในแนวระดับ (แนวนอน)

 

ขั้นตอนที่ ๒ เลี้ยงให้อ้วน

ทำให้เมฆรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีความหนาแน่นมาก

และเคลื่อนที่ช้าลง

 

ขั้นตอนที่ ๓ โจมตีแบบแซนด์วิช (Sandwich)

สร้างเม็ดฝน โดยใช้วิธีการโปรยสาร ๒ ชนิดพร้อมกัน

ด้วยเครื่องบิน ๒ ลำที่ทำมุม ๔๕ องศา

 

ขั้นตอนที่ ๔ เสริมการโจมตีเมฆอุ่น เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝน

โดยโปรยสารสูตรเย็น ที่ใต้ฐานเมฆ

 

ขั้นตอนที่ ๕ โจมตีเมฆเย็น ด้วยพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์

(Silver Iodide) ไอน้ำที่แปรสภาพเป็นผลึกน้ำแข็งจะทวี

ขนาดใหญ่ขึ้นจนร่วงหล่นลงมา ละลายเป็นเม็ดน้ำในเมฆอุ่น

 

ขั้นตอนที่ ๖ โจมตีแบบซูเปอร์แซนวิช (Super Sandwich)

การโจมตีทั้งเมฆอุ่นในขั้นตอนที่ ๓ และ ๔

และเมฆเย็นในขั้นตอนที่ ๕ พร้อมกัน

ประสานประสิทธิภาพเพื่อให้ฝนตกมากขึ้นและเร็วขึ้น

 

ตำราฝนหลวงพระราชทาน

หลักการเบื้องต้นทั้ง ๓ ขั้นตอนได้พัฒนาไปสู่แผนภาพ

แสดงขั้นตอนและกรรมวิธีการดัดแปรสภาพอากาศ

ให้เกิดฝนรวมกัน ๖ ขั้นตอน

(วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒)

 

 

ประโยชน์ของการทำฝนหลวง

 

๑. ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง

๒. เติมน้ำให้เขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

๓. เพื่อระบบชลประทาน การเพาะปลูก การประมง

๔. การปล่อยน้ำเพื่อผลักดันน้ำเน่าเสียและน้ำเค็ม

๕. ให้ความชุ่มชื้นกับแผ่นดินและป่า หรือดับไฟป่า

๖. ลดปัญหาหมอกควันในอากาศ

๗. ลดความรุนแรงลูกเห็บ ช่วงที่มีพายุฤดูร้อน

๘. ทำให้ฝนตกก่อนเวลา หรือก่อนถึงสถานที่สำคัญ

๙. เพื่อการคมนาคมทางน้ำ

 

 

วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘

คือ จุดเริ่มต้นแนวพระราชดำริของโครงการทำฝนเทียม

จึงกำหนดให้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ของทุกปีเป็น

วันพระบิดาแห่งฝนหลวง

 

ฝนหลวงไม่ใช่ฝนเทียม

แต่คือฝนธรรมชาติที่ตกลงมาจากก้อนเมฆจริงๆ

มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง หรือฟ้าผ่าได้

 

ฝนหลวงนี้ ได้รับการจดสิทธิบัตร

ทั้งในและต่างประเทศกว่า ๑๐ ประเทศ

 

นอกจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ๑๐ แห่ง

ที่แบ่งพื้นที่รับผิดชอบตามภูมิภาคแล้ว

บ่อยครั้งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษ

ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจที่มีเจ้าหน้าที่จาก

สำนักพระราชวังร่วมอยู่ในคณะทำงานด้วย

เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติ

ภัยแล้งอย่างหนัก จนเป็นที่มาของแนวคิดการโจมตีเมฆ

แบบซูเปอร์แซนวิช เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝนรับมือกับภัยแล้ง

ให้ได้มากที่สุด โดยครั้งสุดท้ายที่มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการ

ฝนหลวงพิเศษ คือ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘

 

ค่าใช้จ่ายในการทำฝนหลวงต่อครั้ง

อยู่ที่ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท

หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ ๑๐ กว่าบาทต่อไร่

ในกรณีที่ปฏิบัติการสำเร็จ

(จากบทความ ฝนหลวง www.tcdc.or.th บทคัดบางส่วน)

๖๓