หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

งานบรรพชาสามเณร อุปสมบทพระภิกษุ ภาคฤดูร้อน

วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๒๐.๐๐ น.

ณ วัดป่ามณีกาญจน์ ต.ศาลากลาง

อ.บางกรวย จ.นนทบุรี

 

8.jpg

เอ้ เขา วันไหนจะเทล่ะ จะหล่อพุทธปฏิมากร องค์ใหญ่ขนาดไหน อ้า โอ้ เก่ง เว้ย

อืม อ้าน่ะ นั่งสมาธิเน้อ นั่งสมาธิเลย พวกโกนหัวทั้งหลาย มีแต่จะบวชทั้งนั้นเหรอ บวชพระ บวชเณร มันก็ดีแล้ว

 

บวชเป็นเณรให้รู้จัก นะ

บวชเป็นพระให้รู้จัก โม

 

เพิ่นบอกไว้

บวชเป็นเณรไม่รู้จัก นะ

บวชเป็นพระไม่รู้จัก โม

 

ก็บวชเฉยๆ ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ศึกษาหาความรู้ในการพัฒนาใจของตัวเอง ให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริงจังและก็จริงใจ เหมือนสามเณรราหุล ไปอยู่บวชใหม่ๆ บวชแล้วก็ไม่มีที่นอน ไปนอนกับพระบรมศาสดา เพิ่นก็บอก เธอบวชเป็นอนุปสัมบัน เป็นๆ เณรอยู่ ถ้ามานอนร่วมกับเรา ชื่อว่าเป็นพระบิดา ก็ไม่เป็นการสมควรอีกแหละ พระวินัยเธอยังไม่มี พระวินัยเพิ่นสอนว่า นอนร่วมอุปสัมบัน

 

อนุปสัมบัน

 

อนุปสัมบันก็ดี สามเณรก็ดี พระด้วยกันก็ดี นอนร่วมห้องเดียวกัน มันผิดข้อบัญญัติเน้อ เพราะฉะนั้น เธอจะนอนที่ไหนก็ได้เข้า หลีก ช่วยรักษาธรรมะให้ศาสดาด้วย เราเป็นผู้สอนศาสนา และก็ยังเอาอนุปสัมบัน หรือสามเณร มานอนเป็นเพื่อนอย่างนี้ไม่ถูกต้องแล้ว เจอที่ไหนนอนได้ เธอนอนได้เลยถ้าไม่ใช่ห้องเดียวกันกับพระบรมศาสดา ไปนอนที่อื่น เราได้บัญญัติไว้แล้ว พระวินัยข้อนี้ บวชเป็นพระภิกษุเข้ามาในโรงนอนร่วมกันในห้องเดียวกัน ต้อง...อนุปสัมบันหรือว่าญาติกับโยมนอนร่วมห้องเดียวกัน หลายราตรี ๒ ๓ ราตรีไปแล้วเป็นโทษ นอนร่วมกันอุปสัมบันหรือสามเณรก็ตาม ต้องแยกห้องกันนอน เธอเห็นว่าที่ไหนพอนอนได้ก็นอนน่ะ บอกกันไว้ ช่วยพระบรมศาสดารักษาธรรมวินัยข้อนี้ให้เคร่งครัด ไม่ให้มานอนร่วมกันในห้องเดียวกัน นี่ข้อบัญญัติในทางเป็นนักบวช ต้องถือกันอย่างเคร่งครัด นอนร่วมกับสามเณรก็ดี นอนร่วมกับญาติกับโยมได้ ๓ ราตรี ๔ ราตรีไปแล้วมันจึงเป็นโทษ พระเจ้าข้าๆ อย่างนี้ค่อยทำได้ ที่นี่แหละ ไปนอนที่ไหนก็หลับที่นั่นแหละสามเณร บางวันก็มาเจอสามเณรนอนอยู่ห้องปัสสาวะ หัวใจของผู้เป็นพ่อเป็นยังไง เกิดความสลดสังเวช เอาเข้ามานอนในที่นี่ซะก่อนก็ได้วันนี้นะ คืนนี้ เอาลูกชายผู้เป็นราหุล บวชเป็นสามเณรแล้วมานอน คืนๆ คืนเดียวพอ อนุญาตให้นอนที่นี้ได้ ถ้าคืนนอกนั้นออกมาอีก ๒ ราตรี ๓ ราตรี เธอก็จงหาที่นอนให้ได้ นอนตรงไหนก็ได้ สามเณรน้อยราหุล บวชใหม่ๆ อยู่ได้กี่ปี พ่อจึงได้มาเป็นพระพุทธเจ้า หนีออกบวชตั้งแต่วันประสูติ ท่านอยู่ออกลูกวันนั้น นางพิมพาคลอดวันนั้น ด้วยความเหนื่อยยาก ลำบากไม่น้อย คลอดลูกมาใหม่ๆ ทำยังไงล่ะ ในวังเขาก็เลี้ยงกันมา พากันใหญ่ถึงใหญ่โตมา ถึงก่อนจะไปกราบพระบิดาได้ แล้วเพิ่นก็ถามว่าเธอจะบวชไหมราหุล เธอจะบวชไหม บวชพระเจ้าข้า เพิ่นเลยให้สารีบุตรหรือใคร เป็นอุปัชฌาย์บวชสามเณรให้ ตั้งแต่บวชเข้ามาไม่รู้จักอะไร อยากนอนที่ไหนก็นอนได้ ต่อมาก็มีบัญญัติขึ้นมาว่าอนุปสัมบัน บวชเป็นสามเณรแล้ว บัดนี้เธอจะนอนร่วมกับฉันไปทุกวันๆ ไม่ได้แล้ว ต้องไปนอนที่อื่น ซึ่งไม่ใช่ห้องเดียวกัน อ้า เพิ่นบัญญัติขึ้นมาตอนนั้น เพราะฉะนั้น ไม่มีที่นอน ดีแล้ว

f83.psd

ง่วงมาที่ไหนก็หลับที่นั่นเลย หึหึ อ้า สามเณรน้อยๆ บวชแล้ว เป็นสามเณรแล้ว อายุได้กี่ปี ๗ ปี ๘ ปี หรือเปล่าว่า พ่อก็หนีจากไปตั้งแต่วัน วันคลอด พ่ออยู่ ไม่ไป เข้าไปเยี่ยมพิมพา จะไปเยี่ยมพิมพา จะไปอยู่ใกล้ อยากจะเห็นลูกเกิดมาใหม่ๆ จะเป็นยังไง ไปเปิดพระแกล(หน้าต่าง) หรือเปิดประตู มองเข้าไปเห็นแม่กอด กอดลูกนอนอยู่ ลูกเกิดมาใหม่ๆ กำลังเมื่อย เพลีย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ขนาบข้างลูก อุ้มใส่แขนนี่ไว้ ถ้าเป็นคนธรรมดา เราก็คงจะใจสลดสังเวช ไม่ได้ ไป ไปวันนี้ล่ะ บ่วง บ่วงเกิดขึ้นมาแล้ว บ่วง เกิดขึ้น เครื่องมัดเราเกิดมาแล้ว ถ้าเราอยู่ไปนาน มันก็จะมัดเราไว้นานกว่านี้อีก ไปซะเถอะ ออกมาจากเยี่ยมอาการของพิมพา หันหน้าออกมาก็สั่งฉันนะ เตรียมม้าได้ เตรียมม้าทหารขนานใหญ่ เราจะออกบวชวันนี้ ออกไปวันนี้ ถ้าอยู่ไปนานมันก็จะมัดเราไว้นาน นายอะไรล่ะ ไปตามม้า อ่ะ เอาอะไรๆ ไปเลี้ยงไว้ เอาล่ะ ทางวันนี้เปิด ขึ้นมาเถิด ติดตามไป ผู้ขับม้าและขับเกวียน ขออธิษฐานว่าไง ว่าให้ถึงกับพระพุทธเจ้า ไปถึงแล้วก็โกนหัว ไปถึงฝังน้ำเนรัญชรา ถึงฝั่งโน้นแล้วเป็นหาดทรายดี อะไรดี ถ้าจะโกนหัวที่นี่น่ะ ตัดเกศเมาลีที่นี่แหละ แน่นอนแล้ว คาดผมยาวๆ แล้วก็ผมยาวๆ แล้วเนี่ยม้วนขึ้นๆ อ้า เนี่ยตัดตรงเนี่ย ได้แล้วก็โยนไปในอากาศ โยนขึ้นไปในอากาศ พระอินทร์น่ะ ลงมารอเอาพระเกศเมาลีของพระพุทธเจ้า เอาไปสร้าง

 

พระเกศแก้วจุฬามณี

 

ไว้ นี่แหละ นี่ประวัติของพระพุทธเจ้ามีอย่างนี้ ไม่ได้ตกดินโกนหัวออกไปแล้วโยนไปในอากาศ เทวดาเอาผอบมารองรับเอา เอาไปสร้างพระเกศแก้วจุฬามณี ตั้งในเทวโลก ไม่ได้ตกที่ดินหรอก พวกเราโกนหัว โกนก็โกนทิ้ง โกนเสียเอาเฉยๆ อ้า ไม่มีผู้มารับเอาไปสร้างเป็นอนุสาวรีย์ขึ้นเทวโลก นั่นน่ะผู้มีบุญเป็นอย่างงั้น พอโกนหัว ก็โกนทิ้งเฉยๆ ตั้งแต่บวชเข้ามาโกนทิ้งไปๆ อย่างน้อยที่สุดก็ใส่ใบบัวไปลอยน้ำไป ไปลอยน้ำ ไปตามเรื่องตามราว อ้า ไม่เหมือนพระบรมครูพระบรมศาสดา อันนั้นท่านโกนหัวของท่าน ตัดเกศโมลีวันนั้น โยนขึ้นไปในอากาศ เทวดานั้นก็พระอินทร์ ลอยละล่องลงมารับเอา พระเกศโมลีไปสร้างพระเกศแก้วจุฬามณี เอาไว้บรรจุพระเกศโมลีของพระพุทธเจ้า อ้า มีพระสัพพัญญูกระทำได้ ตั้งแต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าได้ พระเกศโมลีทีแรก พระเกศโมลีเราจะไปไหน เราก็จะแสวงหาครูบาอาจารย์ซะก่อน ให้เล่าเรียนข้อวัตรปฏิบัติจากครูบาอาจารย์ก่อน ไปอยู่กับพราหมณ์ พราหมณ์อะไรไปนู้นจะให้ทำ อยู่เขาด้วยอยู่ศึกษาด้วย อยู่ที่นั้นไม่นานนัก

 

ไม่ใช่ทาง ไม่ใช่ทาง

ไม่ใช่ทางแล้ว อยู่อย่างนี้ไม่ใช่ทางแล้ว

 

ไปอยู่กับครูกับอาจารย์ที่ไม่มีดวงตาเห็นธรรม เราคงมืดบอดไปตามๆ กันแน่ เลยหนีไปหาครูอีกองค์หนึ่ง ก็ไม่ใช่ทางอีก ออกภิเนษกรมณ์ใหญ่ออกไปแล้ว พูดรวบรัดจนได้ฌาณ ได้อะไรถึงไหนแล้ว จึงระลึกถึง

 

ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕

 

เขาหนีจากเราไป หนีจากไป ไปอยู่ที่ไหน บัดนี้เราได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว อยากจะไปโปรดอาจารย์ผู้เป็นครูคนแรก ไปแล้วตายแล้ว เพิ่นตายไปนานแล้ว ไปคนที่ ๒ เพิ่นตายไปแล้ว ทั้ง ๒ แล้ว แน่ะ คนแก่เพิ่นหมดลม หลวงตาแก่ๆ เป็นอย่างงั้น

ทำยังไงเพื่อให้แสวงหาโมกขธรรมด้วยพระองค์เอง เอ้ ที่ไหนดีหนอๆ ที่เหมาะ จึงไปเห็นที่อยู่ นั่งสมาธิที่โพธิบัลลังก์ จะอยู่ต้นโพธิ์ๆ นี่แหละ เพราะฉะนั้นตรงนี่แหละ แล้วก็นางพญามารมันมารบกวนนั่นนี่แหละ อืม ทางนั้นก็มารบกวน ขึ้นนั่งบัลลังก์แล้วไม่หวั่นแล้ว ใครจะมาทำยังไงทำเลย จนพญามารมาล้อมไม่สนใจ จึงได้ครองนั่งบัลลังก์ เป็น

 

พระบรมจักรพรรดิราช

 

ในแผ่นดินไม่นาน หรือจะบวชอย่างนี้ เพิ่นก็ไป ไม่อยู่หรอก ห้ามเบียดเบียน มาสู้รบกับพญามารอยู่นั่นจนพอแรง พวกพลเมืองขุนพล พลมารทั้งหลายเอาช้าง ม้ามา แห่มาๆ ล้อม จะมาแย่งเอาบัลลังก์จากพระองค์เออ เอ้ เอาขนาดนี้เลยเหรอ มีผู้มาแย่งเอาขนาดนี้ ก็เอาบารมีของเรา ได้ทำมาจนเต็มหลายชาติแล้ว เอาบารมีทั้งหลายเต็มที่บำเพ็ญมา

 

ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี

 

ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมมากี่ชาติแล้ว บารมีทั้งหลายทั้งปวงไม่มีใครทำไว้เกิน เดือดร้อนถึงน้ำนางธรณี นางธรณีก็ ได้ผุดขึ้นมาอาสา เอามวยผมนี่ล่ะเป็นพยานยื่น เอามวยผมออกยื่นออก บารมีที่พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญมา ร่วมระยะเวลามาตั้งหลายชาติแล้ว ขอให้บารมีนั้นมาช่วยหน่อย ควักเอาผมเป็นน้ำไหลออกท่วมช้าง ท่วมม้า ท่วมพล พลทหารทั้งหลายของพญามารเนี่ย หนีไม่ทัน น้ำท่วมก็ไม่มีที่ไปแหละ ก็ยอม ยอมตรงนั้นแหละยังไม่พอ ยังให้ลูก ลูกสาวของพญามาร

 

นางราคา นางตัณหา นางอรดี

 

f71.psd

๓ นางนี้ เจ้าจงไปแต่งตัว ฟ้อนรำทำเพลง ยั่วยวนให้มหาบุรุษ มายินดี มากำหนัด แล้วก็จะออกจากบัลลังก์ได้ มาทำยังไง ก็ไม่หวั่นไม่ไหว นั่งตรงไปพันไปทาง... มารมาอีก

 

นางราคา นางตัณหา นางอรดี อ่ะ ฟ้อนรำทำเพลง ยั่วยวนพระพุทธเจ้าต่างๆ นานา พระพุทธเจ้าเพิ่นเพ่งกสินอย่างหนัก ดูสาวงามทั้งหลาย มันสวยมันงาม ด้วยปัญญา เพ่งให้จนเห็นร่างกระดูกมัน เพ่งมันให้เป็นของสกปรกโสโครก ในร่างกายของมัน ผู้หญิงสาวทั้งหลายก็ ทนไม่ไหว คนนั้นก็แก่แล้ว คนนี้ก็แก่แล้ว งง ดูพี่สาวเราแก่แล้ว เราก็แก่เหมือนกัน สู้ไม่ได้ ถอยอีกปะเนี่ย เรื่องพระพุทธเจ้าเพิ่นบำเพ็ญบารมี เพิ่นสู้รบด้วย

 

ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี

 

ของเพิ่นมีบริบูรณ์ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จึงทำให้พญามาร
พ่ายแพ้ไปหมดทุกขณะ ในวันเพ็ญเดือนอะไรเนี่ย นางสุชาดาอยากได้ลูกมาเกิด จึงทำ

 

ข้าวมธุปายาส

 

เข้าไปบวงสรวงเทวดา เอามาเลี้ยงพระพุทธเจ้า เพิ่นว่ารู้จักความประสงค์ก็มานั่งอยู่ต้นไทรใหญ่นอกเมืองเรา นางสุชาดาก็ถึงวันพอดี มีพระอินทร์แวะลงมาเอาของทิพย์ทั้งหลายมาใส่ เป็นน้ำนม น้ำมันอะไรๆ ก็เอาลงไปใส่กระทะที่กวนข้าวมธุปายาส เสร็จตามความประสงค์แล้วทุกอย่าง น่าอัศจรรย์หลายอย่างอยู่ในตอนกวนข้าวมธุปายาส มีเทวดาลอยลงมาโปรยอาหารทิพย์ลงในกระทะกวนข้าวมธุปายาส กวนลงไปๆ ก็เหนียวไปๆๆ โอ้ ทำไมไม่เคยมีอย่างงี้ ทำไมเป็นอย่างงี้ล่ะ โอ้ย กวนเสร็จแล้วก็เอาใส่หัว เอาถาดทองคำมาใส่ เอาขันทองคำมาใส่ เอามาใส่ข้าวมธุปายาส ทูนหัวไป จะไป ไป ไปถวายเทวดาที่เราบวงสรวงไว้ ให้สาวใช้คนหนึ่งไปดู เพิ่นมานั่งอยู่นั่นแล้ว พระพุทธเจ้าน่ะมานั่งอยู่แล้ว แต่ว่าคนอื่นมองเห็นว่าเป็นเทวดา ไม่ใช่พระพุทธเจ้าธรรมดา เป็นเทวดามานั่งคอยเราแล้ว เข้าไป ไปกราบไหว้แล้วก็ อธิษฐานจิตยกใส่หัว แล้วก็ยกเข้าไปประเคน

พระพุทธเจ้าเพิ่นก็รองรับด้วยผ้าหรือว่าอะไรล่ะ ผ้ารับเอา อืม รับมาแล้วปะนี้ เราจะฉันแล้วปะนี้ จะฉันข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ก่อนฉันมาระลึกได้ว่าเราอดข้าวมากี่วันแล้ว ๔๙ ๔๙ วันแล้ว ก็เอามาปั้นข้าวมธุปายาสเท่าไข่เป็ดไข่ไก่นี่ว่ะ ได้ ๔๙ ก้อน ได้ ๔๙ ก้อนแล้วถึงจะฉัน เพราะเราอดข้าวมา ๔๙ วันแล้ว กินอย่างอื่นก็ไม่เหมือนข้าวที่รับ เพราะจะนางสุชาดานี้ทานนางจะให้มันคุ้มค่า ปั้นเป็นก้อนๆ ได้ ๔๙ ก้อน เท่าที่เราวันอดอยากมา ทรมานตัวเองมา ๔๙ วัน ก็ทาน พอทานเข้าไปแล้วไม่เหมือนข้าวมธุปายาสอย่างอื่น ไม่ได้เหมือนกับข้าว ตกแต่งด้วยข้าว…เอาเข้าไปคำหนึ่ง ก็สะอาดกายไปทุกขุมขนเลย ไปหมดทุกขุมขนเลย อาหารน่ะอดมา ๔๙ วันแล้วก็ กินเอาๆๆ ถ้าเป็นเราธรรมดานี้กิน ๔๙ ก้อนเนี่ย มันจะท้องแตกน่ะ นี่เพิ่นเฉย กินลงไปก็หายต๋อมๆ จนถึง ๔๙ ก้อนแล้ว นางสุชาดาเห็นฉันได้อย่างงั้นก็ดีใจ กลับบ้านด้วยความปิติยินดี ว่าเทวดาลงมารับเอาข้าวมธุปายาสของเรา ตามคำขอร้อง ตามคำบนบานไว้ บนบานศาลเจ้า มี มีสมัยก่อน กินข้าวเสร็จแล้ว เสร็จหมดแล้ว ล้างมือล้างอะไรเรียบร้อย แปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ไม่ได้ถือ ได้ถาด ถาดทอง ตัวนี่มันเหลือ เพราะเขาไม่เอาคืนไป เขาเอาถวายหมด เพราะว่าเทวดามารับกับมือเองแล้วน่ะ ไม่เอาล่ะ ถวายหมดทั้งถาดนี่แหละ พระพุทธเจ้าก็ได้โอกาสลองจะ

 

อธิษฐานเสี่ยงทาย

 

ว่าเราจะได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จริงไหม ถ้าจริงนี่ ขอให้ถาดทองจงลอยทวนกระแสน้ำไว้ ถ้าเราจะไม่ได้ตรัสรู้

f77.psd

ก็ขอให้ไปตามกระแสน้ำซะ ไหลไปตามกระแสน้ำ ตามอะไร อันนี้พอซัดถาดทองลงไปแล้ว ลอยเต้นต้อมๆๆ ไปทางนู้น ทานตาม ทานกระแสขึ้นไป ไม่ได้ไหลไปตามน้ำ ไปจมลงนู้น ในแม่น้ำใหญ่นู้นล่ะ จะกล่าวถึงพญานาคอยู่ในพื้น พื้นน้ำ กำลังนอนหลับๆ อยู่ ถาดมาซ้อนกันลงที่หัวพญานาคหนุนอยู่ ซ้อนแก๊กลงมานี่ แอ้ เมื่อวานนี้ก็พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งได้ตรัสรู้ วันนี้
มาอีกองค์หนึ่งเหรอ เนี่ยเสียงแก๊กตรงเนี่ย โอ้ พุทธเจ้าตรัสรู้อีกองค์หนึ่งอีกแล้ว เนี่ยนอนกี่วันมาแล้ว นอนเป็นเดือนเป็นปีแล้ว พึ่งเมื่อ เมื่อวานนี้ วัฏจักรของพญานาคเป็นยังไง นอนจนไม่รู้จักวันจักเดือนล่ะ โอ้ พุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกแล้ววันนี้ เนี่ยถาดลอย ลงมา มาซ้อนกันเข้าไปเนี่ย องค์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ องค์ที่ ๔ แล้วล่ะเนี่ย ใกล้จะองค์ที่ ๕ พระอริยเมตไตรยยังไม่ได้มา พอฉันข้าวมธุปายาสเสร็จแล้วเรียบร้อย ก็เดินจากต้นไทรใหญ่แห่งนั้นมุ่งหน้าไปสู่ต้นโพธิ์ ก็คงจะไม่ไกลกันว่ะ ก็เอาหญ้าล่ะหญ้าคา หญ้าแฝกหญ้าอะไร ที่มีผู้ถวายมา ๘ กำ เอาไปปูต้นโพธิ์แล้วก็อธิษฐานในใจเอา ขอให้โพธิบัลลังก์จงเกิดขึ้นที่นี่ จงเกิดขึ้นที่นี่เราจะขึ้นนั่งประทับ นั่งสมาธิภาวนาอย่างเดียวอย่างอื่นไม่เอาแล้ว เราจะได้ตรัสรู้ในที่นี่ ก็สมปรารถนา หญ้าคาหรือหญ้าแฝก หญ้าคาอะไร ๘ กำนั่นนะ กลายเป็นบัลลังก์ขึ้นมา ขึ้นนั่งตรงนั้นล่ะ นั่งอยู่ที่นั่น

แต่ว่ามีพญามารมารบกวน มาแย่งเอาบัลลังก์ พญามารมีอยู่ทุกหนทุกแห่งเนาะ(นะ) อืม สมัยครั้งพุทธกาลก็มีพญามารขนาดนั้น ไอ้พวกเราสมัยใหม่พญามารก็มีอยู่เหมือนกัน

 

พญามารจากรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

 

มีแต่พญามารทั้งนั้นล่ะมารบกวนเรา ไม่ให้นั่งสมาธิภาวนาได้เต็มที่ อืม นั่งไปๆ อารมณ์ทั้งหลายกลัวมันจะยั่วยวน ชวนให้นึกคิดไปต่างๆ นานา ก็ออกจากสมาธิซะ อันนั้นเพิ่นไม่หวาด ไม่หวั่น ไม่ไหว จนได้เข้าปฐมฌานได้

 

ปฐมฌาน ทุติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน

f64.psd

ไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็แจ้งสว่างมา ก็ได้บรรลุได้ดวงตาเห็นธรรม รู้แจ้งโลก รู้ไปหมดทุกแห่ง ในปฐมยามก็ระลึกชาติหนหลังได้หลายชาติ ทุติยยาม ตติยยามเข้ามาก็ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว

เห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธ เห็นมรรค

 

ขึ้นมา แจ้งสว่างในจิตหมดเรียกว่า ตรัสรู้ธรรม โอ้โฮ มันมีอย่างงี้น่ะ เราได้กินข้าวทิพย์จากนางสุชาดา ไม่มีเมื่อย ไม่มีหิวใดๆ ทั้งนั้น อิ่มอยู่อย่างนั้นตลอดวันตลอดคืน ไม่มีเมื่อยมีหิว อืม ปะนี้ระลึกถึงครูบาอาจารย์มา อยากจะไปโปรดอาจารย์ผู้สอนคนแรกตายซะแล้ว ไปก่อนแล้ว คนที่ ๒ ก็ไปอีกเหมือนกันเสียดาย ว่าจะแสดงธรรมแก่ใครดี ไม่เห็นและก็ดั้นด้นว่าไปอยู่ที่ไหน ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ไปอยู่ที่ไหน รู้ขึ้นมาในพระญาณนั้น ว่าโน้น อยู่ป่าอิสิปตน(มฤคทายวัน) นู้นน่ะ อยู่ป่ามหาวันอยู่ที่ไหนบ่รู้ ไปทรมานตนอยู่นั่น เราควรจะไปเยี่ยม เยี่ยมเพื่อจะได้ดวงตาเห็นธรรมกันบ้าง ก็ไปจริงๆ ล่ะ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ โอ้ย โมฆบุรุษ ว่าจะทรมานตนให้สำเร็จ เดี๋ยวนี้มาเนื้อหนังสมบูรณ์ แข็งแรง สีสันวรรณะเปล่งปลั่งอย่างงี้ คงไปกินอาหารแล้ว ว่าจะอดอาหารให้ได้บรรลุ อันนี้คงไปกินอาหารที่ไหนมาจึงเป็นอย่างงี้อ่ะ ไม่สามารถจะลุกขึ้นยืนรับ บางคนก็มีความเลื่อมใสอยู่ ไปปูลาดอาสนะไว้ รับบาตร รับอะไรมาตั้งไว้ อ้า เอาขันน้ำขันท่ามาตั้งไว้ให้ ปะนี้แหละพระพุทธเจ้าได้โอกาสแล้วก็แสดงธรรมให้ฟังอ่ะนะ เรื่องอย่างนี้ๆ พวกเธอทั้งหลายเคยได้ยินได้ฟังหรือเปล่า เออ ไม่เคยได้เห็น นี่เราได้รู้ได้เห็นแล้ว ได้ดวงตาแล้ว จึงจะนำธรรมะมาแสดงให้ฟัง

อ้า แสดง อาทิต(ตปริยายสูตร) อนัต(ตลักขณสูตร)
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรอะไรให้ฟัง แล้วก็พากันได้ดวงตาในที่สุด อัญญาโกณฑัญญะ เป็นหัวหน้าหมู่ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อน นอกนั้นก็ยังสงสัยอยู่ จนพระอัญญาโกณฑัญญะน่ะกราบลงแทบบาท ข้าพระบาทหายสงสัยแล้ว พระเจ้าข้า ที่พระองค์แสดงมาเนี่ยเป็นความจริงทุกอย่าง ได้ดวงตาเห็นธรรม

 

อัญญาโกณฑัญญะ เห็นได้ก่อนหมู่

 

วัปปะ มหานามะ พระอัสสชิ พระอะไรหลายองค์ ๕ องค์ด้วยกันน่ะ แต่ว่าองค์นี้แหละดวงตาเห็นธรรมก่อนหมู่ก็เทศน์ อาทิตตปริยายสูตรบ้าง อะไรบ้างให้ฟังเรื่อยๆ นั่งทำดีๆ ก็เอาใหญ่ล่ะปะเนี่ย เทศน์ใหญ่ เออ ในที่สุดก็เทศน์เรื่อง อะไรล่ะ

 

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

 

เนี่ยขึ้นมา อืม ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนกันหมดทั้ง ๕ เลย ได้ คืนเดียวนั่นได้บริษัทอีก ๕ องค์แล้ว ได้กำลังขึ้นมาพอสมควร เออ แล้วเพิ่นก็มาแนะนำว่า พวกเธอทั้งหลายได้หายความสงสัยแล้ว เรื่องบาปบุญคุณโทษ เข้าใจหมดแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายแยกกันไปคนละทิศละทาง ไปแนะนำธรรมะแก่ประชาชนทั้งหลาย ให้เขารู้ ให้เขาได้ดวงตาเห็นธรรม แน่ะ เพิ่นประกาศศาสนาทีแรกก็หลายองค์หรอก เออ ก็ได้มาเรื่อยๆ ได้มาเรื่อยๆ ก็ช่วยกันประกาศมาเรื่อยๆ ประกาศธรรมะ นั่น ในธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้บรรลุธรรม ได้ดวงตาเห็นธรรม เอามาขยายให้เข้าอกเข้าใจทุกคนๆ ล่ะ มีจำนวน ๕๐ ๖๐ องค์ขึ้นมาแล้ว แล้วก็ประกาศกับหมู่ว่า หมู่ทั้งหลายเมื่อสิ้นสงสัยในธรรมแล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรมแล้วไม่เสื่อม ต่อจากนี้ขอให้ท่านทั้งหลาย จงแยกกันไปคนละทิศคนละทาง อย่าไปทางเดียวกัน แล้วนำธรรมะของเราไปแจกให้ประชาชนเขาได้รู้ ได้เข้าใจ เรื่องบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์อะไร เท่าที่ฟังมาเข้าใจแล้ว ขยายเอาเองได้ไหม ได้แหละ ผู้ประกาศศาสนาทีแรกก็ไม่ใช่ธรรมดานะ ๖๐ องค์พู้น(โน้น)น่ะ ขึ้นไป นั่นเพิ่นประกาศกันแบบนี้ ไม่ได้ ได้มาถือหนังสืออ่านให้ใครฟัง ไม่ใช่อย่างงั้นหรอก เพิ่นพูดให้ฟังเอา ให้เข้าอกเข้าใจเอา อันนี้พวกเรามาอยู่รวมกันจำนวนมากอย่างนี้จะเอาธรรมะอะไรมาเล่าให้ฟัง เราไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้านี่แหละ เป็นพระมีกิเลสอยู่เหมือนกัน ก็ตั้งใจฟังเอาเด้อ ปะเนี่ยเด้อ พากันไหว้พระรับศีลแล้วเรียบร้อย หรือเปล่า วันนี้น่ะผู้ถือศีล ๘ มีไหม พวกที่โกนหัวทั้งหลายนั่นก็จะบวช เป็น

 

พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

 

ในวันฉลองพุทธปฏิมากร รูปเปรียบ รูปแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นสักองค์หนึ่ง เพื่อเอาไปประดิษฐานที่วัดโน้น วัดใหม่ของท่าน ท่านมีวัดใหม่หลายแห่ง อันนี้ป่ามณีกาญจน์ อันนี้วัดป่ามณีกาญจน์มีพระบรมศาสดามานั่งแล้ว มานั่งให้เป็นธงชัยของอุบาสกอุบาสิกาแล้ว แต่ว่าวัดใหม่ยังไม่มีพระประธาน เพิ่นอยากจะหล่อพระประธานเอาไปไว้ที่วัดใหม่ นี่ความประสงค์ของผู้เป็นประธาน ผู้เป็นเจ้าอาวาสเดิมที่นี่ อันนี้แหละอันนี้ก็เป็นการจะหล่อองค์พระพุทธปฏิมาขึ้น แล้วเอาไปประดิษฐานไว้วัดใหม่โน้น วัดอะไรของเพิ่นน่ะเฮอะ เออ เวฬุวนาราม เวฬุวัน อาราธนาไปเวฬุวัน อยู่อำเภออะไรนู้น เออ เมืองกาญจนบุรี อันนี้ก็ได้นอนมาด้วยแล้ว เออ ไม่ได้นอนวัดนั้น มาไม่ทันแล้ว แต่ไม่ได้แสดงธรรมหรอก

ของเมาๆ เอามาพูดด้วยกันกับเรา เราไม่มีดวงตาเห็นธรรม เราก็พูดแต่สิ่งที่เรารู้เราถนัด สิ่งที่เรายังไม่ได้รู้ ไม่ได้ตรัสรู้ ก็เอาพูดให้ฟังไม่ได้ พวกเรานี่มีจิต มีใจ ทุกคน มีจิตมีใจทุกคน มีหูทุกคน มีตาทุกคน ฟังแล้วก็ให้มันไหลเข้าไปหาหัวใจเราบ้าง อย่าให้มันเลยเถิดไปทางอื่น ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ดี ให้มันไหลเข้าไปหาหัวใจของเรา หัวใจของเราจะเป็นผู้บันทึก กำหนดจดจำเอาธรรมะข้อปฏิบัติทั้งหลาย นำไปประพฤติปฏิบัติให้มันเกิดขึ้นในตัวเอง มันเป็นของถาวร ถ้าธรรมะเกิดขึ้นจากใจแล้ว มันเป็นธรรมะที่ถาวร

f53.psd

 

 

(พัดลมแรง) รบกวนปิดซะ รบกวนปิดซะ

 

ขอให้ตั้งใจฟังด้วยดี

 

สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง

 

ผู้ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญาน่ะ ฟังด้วยดีคือทำ ฟังยังไง ฟังด้วยดี ฟังด้วยใจสงบฟัง ไม่ฟุ้ง ไม่ซาบซ่าน ไม่ส่งส่ายไปตามสัญญาอารมณ์อื่น ให้ได้อยู่ ได้ยินอยู่ที่หู ให้ได้รู้อยู่ที่ใจ อันนี้เรียกว่าฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา พวกเรามันเป็นผู้ลุยโลกีย์มากันทุกคน โลกีย์ก็

 

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์

 

เราลุยกันมาพอแรงแล้ว วิ่งเข้าวิ่งพอเป็นมาแรงแล้ว แล้วผ่านความสารทุกข์สุขดิบมาทางโลกพอแรงแล้ว วันนี้เอาธรรมะมากระตุ้นเตือน ให้ระลึกขึ้นมาให้ได้ เกิดมาแล้วมีทุกขัง เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวของเราเลย ของเหล่านั้น ผจญภัยผจญมารมาเยอะแยะ โศกเศร้าอาดูรพูนเทวษ กับผู้ที่วิปโยคโศกศัลย์ หนีไปจากเรา ผู้ล่วงลับไปจากเราก็มี นี่ก็ทำให้เกิดทุกข์ได้เหมือนกัน ทุกข์เพราะความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ก็เป็นกองทุกข์ชนิดหนึ่ง ทำให้พวกเราต้องทุกข์อยู่

เพราะฉะนั้น ฟังแล้วเอาหัวใจตัวเองทำความสะอาดใจของตัวเอง ให้ห่างเหินจาก

 

ทุกขัง อะนิจจัง อะนัตตา

 

เหล่านั้นซะ ให้มันแจ้งสว่างในจิตของเราซะ ความทุกข์โศกโรคภัยทั้งหลาย ก็จะเบาบางไปจากจิตใจของเรา แยกออกจากหัวใจของเรา ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวงเป็นกองทุกข์ มีเงินเสียเงินก็เป็นทุกข์ มีบ้านมีช่อง บ้านช่องก็พังทลายไปแล้วหลายหลังแล้ว ก็เป็นทุกข์อีก ทุกข์เพราะการทำมาหากินหาเลี้ยงชีพ อ้า คุ้ยเขี่ยหาสิ่งของมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าเนี่ย ก็เป็นกองทุกข์อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ทุกข์เหล่านั้นมันผ่านไปแล้ว เรายังมีชีวิตอยู่ มีหัวใจอยู่ เราต้องทำใจให้ขาวสะอาด เอาศีลธรรมเข้ามาช่วยฟอกจิตฟอกใจ ให้มันขาวสะอาดมา กองทุกข์โศกโรคภัยเหล่านั้น โศกเศร้าโศกาอาดูรทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ใช่เรา เป็นของที่ทำให้เราเป็นทุกข์ต่างหาก ทุกข์เพราะการพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวง อันนี้ก็เป็นกองทุกข์ มีลูกก็เสีย มีผัวมีเมียก็พลัดพรากจากกันไป อันนี้เป็นกองทุกข์ กองทุกข์เหล่านี้ มันไม่ใช่ตัวของเรา เป็นของที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เราก็สู้ทุกข์เหล่านั้นมา อ้า ด้วยความเหนื่อยยากลำบาก โศกเศร้าโศกาอาดูรพูนเทวษ เหล่านั้นเป็นกองทุกข์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น หัวใจเรายังมีอยู่ ยังมีหัวใจอยู่ เราก็ฮึด ตั้งใจใหม่ขึ้น ต่อแต่นี้เราจะไม่ทุกข์โศกโรคภัยกับใคร ไม่ต้องห่วงใยอะไรเลยในโลกา จะมีล้นฟ้าเขาก็พลัดพรากจากกันไปอยู่ ให้เราเห็นอยู่ ท่านเหล่านั้นก็ได้รับกองทุกข์มาแล้วเหมือนกัน อันนี้ความอดกลั้นทนทาน ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการที่เข้ามา อันนี้จึงจะเป็นการชนะ ชนะตนเองชนะใจตนเอง ที่มันทุกข์โศก คับแค้น แน่นอกแน่นใจ เพราะการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เหล่านี้ไม่ใช่ของของเราแท้หรอก มันเป็นเพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้น ที่จริงมันก็เป็นวิปโยคโศกศัลย์ ทำให้เกิดทุกข์คับแค้นคับแค้นแน่นใจอยู่แค่นั้น เมื่อทำใจให้มันสงบลงได้ ตั้งใจให้เป็นสมาธิเป็นหนึ่งได้ มีอันเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พ้นจากกองทุกข์ มาพิจารณาความเป็นจริงของสภาวะของโลก มีการวิปโยคโศกศัลย์ พลัดพรากจากกัน จากของรักของชอบใจ สมบัติพัสถานทั้งหลายทั้งปวงก็เหมือนกัน เราหามาได้เท่าไหร่ๆ เสียไปเท่าไรๆ อันนี้มันก็เห็นประจักษ์อยู่ เป็นประจักษ์ตาอยู่ แต่จะเอาคืนมาได้ เพิ่นว่าไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง เอาทรัพย์ที่ถาวรอยู่ในตัวของเราเอง ทำใจให้สงบระงับ จากความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งหลายทั้งปวงซะ เออ ทั้งมันเป็นอย่างงี้ ตั้งแต่ปู่ แต่ย่า แต่ตา แต่ยายของเรา

 

มีการพลัดพรากจากกันไป อย่างนี้เป็นธรรมดา

ไม่มีใครจะมาปฏิเสธไม่ได้

 

ต้องพลัด ต้องพรากจากกันไป ไม่จากเป็น ก็จากตาย ไม่จากตาย ก็จากเป็น อยู่อย่างงี้ อืม ยังไม่ได้ตายหรอกแต่ความพลัดพรากเหล่านั้น มันยังอยู่ในหัวใจเรา อ้า อยู่ในหัวใจเราพลัดพรากกันอยู่ทุกวันๆ ล่ะ

 

แก่แล้ว เฒ่าแล้ว ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าเลยสักคนหรอก

 

มีแต่มันจะพลัดพรากจากของรักของชอบเจริญใจทั้งหลายทั้งสิ้นไป เรามีความแก่เป็นธรรมดา เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งสิ้นไป เป็นอย่างงั้น สวดแล้ว สวดว่าเราจะต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งสิ้นไป ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดไปหรอก ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราจะต้องหา เออ คุณธรรมไว้ใจให้เต็มเปี่ยมเอาไว้ อย่าให้บกพร่อง ไม่หวั่นไหว เออ เกิดมาก็ต้องตายกันทุกคนๆ แม้พระบรมศาสดาท่านก็พลัดพรากจากของรักของชอบใจของท่านเหมือนกัน ตั้งแต่เกิดมา จนหนีไปบวช บวชแล้วไม่ต้องห่วง เพราะของเหล่านั้นเป็นกองทุกข์ ถ้าเป็นห่วงเขาก็ ความทุกข์จะมาถึงตัวอีก ไม่ดีเลย ท่านก็เอาตัวรอดเป็นยอดดี อืม ยอดมนุษย์ก็ได้บรรลุคุณธรรมสูงสุดคือพระนิพพาน หมดแล้ว หมดเรื่องทุกข์ในใจแล้ว ต่อแต่นั้นท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาช่วยสัตว์โลกทั้งหลาย ให้ได้ดวงตาเห็นธรรมด้วย

 

เห็นทุกขัง เห็นอะนิจจัง เห็นอะนัตตา

 

ไปตามๆ กัน แอ้ ก็บรรลุคุณธรรมตามสมควรแก่ฐานะของตนๆ ไป นั่นท่านก็ได้ช่วยคนเป็นหลายพันล้าน ไม่ได้หลายหมื่นล้านน่ะ หลายพันล้าน หลายแสนล้าน ช่วยมนุษย์ด้วย ช่วยเทวดาด้วย ช่วยพระอินทร์ พระพรหม พระยมบาล ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ก็ได้ช่วยเหมือนกัน พอท่านขึ้นไปแสดงธรรมให้พระมารดา สิริมหามายาเทวบุตร อยู่เทวโลก ขึ้นไปแสดงธรรมให้ฟัง อ่ะ ได้อยู่ อยู่โน้นกี่เดือนนะ ๓ เดือน ไตรมาสหนึ่งน่ะ แสดงธรรมอยู่ที่โน้น ซะจนมารดาได้บรรลุ ได้ดวงตาเห็นธรรม ในเทวโลกโน้น หายสงสัย เรื่องการสร้างโลกหายสงสัยแล้ว มันเป็นทุกข์ขณะนั้น รู้จักว่ามันเป็นทุกข์ สร้างโลกมันเป็นทุกข์ มีธุระภาระที่ยังรับผิดชอบมากมาย เลี้ยงลูกและก็เลี้ยงหลาน เลี้ยงพี่ เลี้ยงน้องทุกอย่าง รับผิดชอบมาหมดด้วยตลอด แน่ะ อันนี้เราจะช่วยโลก พระพุทธเจ้าตั้งปณิธานอย่างงั้น เราได้ดวงตาเห็นธรรม เราก็จะทำประโยชน์ให้แก่สัตวเทวโลก มันอยู่ใกล้อยู่ไกลขนาดไหน เราจะไป ไปให้ถึงบุคคลนั้น พระเจ้าพิมพิสารท่านก็อยู่โน้น อ้า กรุงราชคฤห์พู้น(โน้น) ท่านก็ยังรอนแรมไป ไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารให้ได้ ท่านได้ดวงตาเห็นธรรม ปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ซะก่อน ก่อนจะตาย แต่ก็ตายเหมือนกัน พระเจ้าพิมพิสารก็ตายเหมือนกัน ตายเพราะลูกอกตัญญู เออ พระเจ้าอชาตศัตรูอยากได้ราชสมบัติ ฆ่าพระบิดาซะก่อนจึงจะได้ว่าอย่างงั้น เนี่ยมีพระมา

 

ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก

 

f46.psd

ถ้าไม่ฆ่าพระบิดาซะก่อน เราจะได้ราชสมบัติมาจากไหน อย่างเนี่ย ก่อนจะได้ราชสมบัติทั้งหมดทั้งปวง ขอจงปลงพระชนม์พระบิดาซะก่อนน่ะ จึงได้ให้สร้างคุกสร้างตะรางขึ้น เอาพระเจ้าพิมพิสารไปขังไว้ที่นั่น ให้อดข้าว อดน้ำ อดอาหาร จนตายในวัน

พระเจ้าอชาตศัตรู มีเมีย มีลูก ลูกเกิดมาพอดีวันนั้น พระบิดาก็สวรรคตวันนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูนั้นมีลูกชายของพระเจ้าพิมพิสาร แล้วอยากได้ราชสมบัติ มีพระบางองค์ พระเทวทัต อ้อ มา

 

ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้เกิดแตกแยก

 

ต้องปลงพระชนม์พระบิดาซะก่อน จึงจะได้ครองราชสมบัติสมบูรณ์แบบ จะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน ก็เลยเกิดกิเลสอย่างหนาขึ้น อยากได้ราชสมบัติ ยังดีมีครอบมีครัวไปแล้ว มีลูกก็เกิดวันนั้นด้วย เกิดวันพระบิดาอยู่ในคุก สวรรคตอยู่ในคุก พวกเจ้าหน้าที่จะมาทูลเรื่องนี้ เรื่องว่าลูกชายพระเจ้าอชาตศัตรูเกิดขึ้นมาเวลานั้น พระเจ้าพิมพิสารผู้อยู่ในคุกก็สวรรคตวันนั้นเหมือนกัน เขาจะทูลถามกันว่ายังไงหรือยังไงดี ต้องทูล ทูลๆ ทูลความเกิดก่อน เพิ่นได้ลูกคงจะดีใจ ถ้าไปทูลพระบิดาสวรรคตในคุกในตะรางแล้ว มันก็จะซ้ำเติมท่านเกินไป เพราะฉะนั้น ทูลเรื่องเกิดซะก่อนให้ชื่นชมโสมนัส เขาก็กราบทูลเรื่องลูกชายเกิดมา ลูกชายพระเจ้าอชาตศัตรูเกิดมา ตาแบ้วๆ อืม ไม่ใคร่รู้เดียงสามาแต่เกิดพู้น(โน้น)แหละ อืม พอเห็นหน้าลูกชายเท่านั้น ลูกเกิดแล้วตอนนั้น แล้วจึงถามหาพ่อของตัวเอง พระบิดาของฉันเป็นยังไง เออ ในเวลาเดียวกัน พระเจ้าข้า กับพระกุมารประสูติเกิดมาเนี่ย เวลาเดียวกัน พระบิดาก็สวรรคตเวลานั้นเหมือนกัน ร้องไห้ใหญ่ ไม่ลืมหูลืมตา ร้องไห้ว่า พระบิดาตายแล้วเพราะถูกทรมานอยู่ในตะรางเป็นเวลานานพอสมควร นี่แหละจึงค่อยรู้จักบุญคุณ เออ

 

หนูบ่กินม้อน(ตัวหม่อน) บ่คึด(คิด)เห็นคุณแมว

ลูกบ่แขวนขาแขวนแอว(เอว) บ่คึด (คิด)เห็นคุณ

ของคุณของพ่อของแม่

 

อันนี้เหมือนกันนะ พระเจ้าพิมพิสารนี่ก็เหมือนกันนะ พระเจ้าอชาตศัตรู ลูกชายเกิดวันนั้น พระบิดาพระเจ้าพิมพิสารก็สวรรคตวันนั้นเหมือนกัน เออ เรียกว่าเกิด โศกเศร้าโศกาอาดูร จนว่าไม่กินข้าวกินน้ำแหละ โศกเศร้าโศกาเนี่ย พระบิดาตายเพราะเราลงโทษ ให้ขังไว้ในคุกในตะราง เสียใจใหญ่ ร้องไห้ตลอดวันตลอดคืนนั่นแหละ อ้า แล้วมีพระองค์หนึ่ง พระเทวทัตองค์หนึ่ง เป็นครูสอนให้ทำลายพระบิดา ทรมานพระบิดา ส่ายหัวเลย

 

คำสอนอันนั้นไม่ถูกต้อง

คำสอนอันนั้นไม่ถูกต้อง

f40.psd

เรารู้แล้ว อ่ะ จึงนึกถึงบุญคุณของพ่อ สมัยเกิดมาใหม่ๆ หายใจไม่ออก แม่เคยสอนว่าเวลาเจ้าหายใจไม่ออก เกิดมาใหม่ๆ เป็นหวัดหรือเป็นอะไร ขี้มูกตันดัง(จมูก) หายใจไม่ได้ ร้องอยู่อย่างงั้นแหละ หายใจไม่ได้ พระเจ้าพิมพิสารทำยังไง พระมารดาก็เลยสอนว่า พ่อของเจ้าไม่ทอดทิ้งเจ้า ลูกหายใจไม่ออก เอาปากมาอมจมูกของลูกและดูดอย่างแรง ดูด ปื๊ดๆๆๆ ขี้มูกที่มันตันดัง(จมูก)อยู่ ก็ออกมาหมด หายใจได้สบาย เอา ๒ ที เอา ๓ ทีหมด จนไม่มีอะไรอยู่ในจมูก นั่น พ่อได้ทำกับเจ้าอย่างงี้ แค้นขึ้นมาในใจขึ้นมา พ่อเอากับเราขนาดนั้นเลย แม้แต่ขี้มูกออกมาทางดัง(จมูก) พ่อก็อมจมูกแล้วก็ดูดขี้มูกออก เราจึงได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมา ไม่ตายเวลานั้น นึกได้ดังหมดทุกข้อที่แม่สอน น่ะเป็นไง เพราะฉะนั้น เรามีลูก อืม เกิดเรา ได้เกิดมาแต่น้อย พ่อแม่เลี้ยงเรา ท่านทำยังไง เวลาเราหายใจไม่ออกตันจมูกขึ้นมา พ่อกับแม่ก็อาจจะไม่นิ่งนอนใจ แต่สมัยนี้มีหมออยู่ทุกหนทุกแห่ง อุ้มลูกได้ก็ไปหาหมอเพื่อช่วยดูดออกให้ อ้า เขามีเครื่องดูดหรือเปล่า ดูดขี้มูกตันดัง(จมูก) ขี้สเลดมันตันดัง(จมูก) หายใจไม่คล่องตัว เขามีวิธีดูดยังไง อาจจะมีเครื่องมือดีๆ แต่พระเจ้าพิมพิสาร ท่านไม่มีเครื่องมือดูดแบบนั้น ท่านเอาปากของท่าน อมจมูกลูกแล้วก็ดูด ดูดขี้มูกที่มันแข็งๆๆ หายใจไม่สะดวก ปื๊ดๆๆ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งก็ออกมาหมด หายใจได้สบาย ร้องไห้ได้เต็มที่ เออ นั่นเหตุนี้เป็นการสอนคนทั้งโลก ให้รู้จักว่าพ่อแม่เลี้ยงเรามา พาเราโตขนาดนี้ ท่านทำยังไงกับเราบ้าง แหม นับไม่ถ้วน เวลาหายใจไม่ออก พ่อก็อาจจะคง อมจมูกแล้วดูดจมูกลูก ปื๊ดๆๆ ให้ขี้มูกแข็งๆ แล่น(วิ่ง)ออกมาหมดซะก่อน หายใจได้สะดวกสบาย นี่อาจจะมีบางคนทำอยู่ แต่สมัยก่อนหมอยังไม่เจริญ เดี๋ยวนี้หมอเจริญทุกหนทุกแห่ง อุ้มลูกไปหาหมอ หมอก็หาวิธีช่วยเหลือให้เด็กหายใจได้ เออ อย่างนี้เป็นต้น มีอยู่ทุกวันนี้ มีอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เขามาดูดออกให้จนไม่มีเสลด ขี้มูก น้ำลายมันคันคอ หายใจได้คล่องก็ร้องไห้ อุว่าๆ ขึ้นมาได้สบาย แน่ะ อันนี้พวกเราสมัยก่อนก็ยังไม่มีหมอมากมาย เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้หมอทุกโรงพยาบาลทำได้ทุกโรงพยาบาล ช่วยให้เด็กหายใจได้ ปอดไม่มี หัวใจไม่มี เขาอาจจะฟอกให้ใหม่ ดูดให้ใหม่ ให้หายใจได้คล่องๆ แต่พวกเราเลี้ยงลูกมา พาลูกโตได้เป็นผู้เป็นคน ได้ลูกไพ่(สะใภ้) ได้ลูกเขย เต็มบ้านเต็มเมือง หลานเกิดมาก็ยังมาตันดัง(จมูก)ให้เราเลี้ยงดู หาวิธีช่วยดูดออก หาวิธีดูดออก รูจมูก ดูดขี้มูกที่มันตันดัง(จมูก)อยู่นั่นออกให้หมด เนี่ยไม่ขี้เดียด(รังเกียจ)หรอก ไม่รังเกียจหรอก ดูดปื๊ดๆๆ ออกมาหมดแล้วเรียบร้อย หายใจได้แล้วจึงค่อยบ้วนทิ้งไปได้ บ้วนขี้มูกมันตันดัง(จมูก)มันเหนียว อ้า อันนี้พวกเราไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เคยเลี้ยงลูกกันมาแล้วทุกคนแล้ว อ้า ผู้มีครอบมีครัวเคยเลี้ยงลูกมาแล้ว เวลามันร้องไห้กระจองงองแง ทำยังไงแม่จะช่วยได้ ทำยังไงพ่อจะช่วยได้ ก็ช่วยหาวิธีดูดอย่างว่านี้ ไปปรึกษากับหมอ ขอร้องให้หมอช่วยให้หายใจได้คล่องตัวกว่านี้ อย่าให้เป็นอย่างนี้อีกต่อไปอันนี้ นี่แหละเลี้ยงลูกปลูกโพธิ์ทั้งหลาย กว่าจะได้ใหญ่โตใหญ่กล้า อืม ใหญ่กล้าหน้าบานขึ้นมา ได้เป็นเจ้าคนนายคน ก็เพราะแม่ประคบประหงมเรา ดูดขี้มูก ดูดน้ำลายบ้วนทิ้งซะก่อน ให้หายใจคล่องซะก่อน จึงค่อยสบายใจ

เพราะฉะนั้น พวกเราที่อยู่มีครอบมีครัว เคยเลี้ยงลูกมาแล้ว เลี้ยงลูกอ่อนมาแล้ว ทำยังไงทำให้ลูกหายใจได้ มีปัญญาหรือว่า อ้า ไม่มีปัญญาเหมือนพระเจ้าพิมพิสาร ท่านยังเอาปากของท่าน อมจมูกลูกแล้วดูดปื๊ดๆๆ ๒ ที ๓ ที ทำใจมาอีกใหม่ ดูดใหม่อยู่อย่างงั้นเป็นต้น

f55.psd

 

อันนี้ทำให้พระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นลูกชาย ระลึกได้แล้ว ไม่ได้แต่ร้องไห้อย่างเดียว โศกเศร้าโศกาอาดูร ร้องไห้อย่างเดียว บิดา พระบิดาของเรา ดูดจมูกเรา ดูดขี้มูกเราบ้วนทิ้ง เราจึงหายใจได้ไม่ตาย แอ้ เราคิดดูให้ดี อันนี้เราผ่านกันมาทุกคนแล้ว ตัวผู้แสดงธรรมอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ถูกพ่อแม่ดูดจมูกเหมือนกัน สมัยนู้นยังไม่มีหมอ ไม่เจริญ เวลามันตันดัง(จมูก)ขึ้นมา มันก็หายใจยากลำบาก พ่อก็ดูดเอาเหมือนกันแหละ ทุกๆ คนได้ผ่านมาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พวกเรานั่นได้โต เมื่อใหญ่กล้าหน้าบานช่วยตัวเองได้ สั่งขี้มูกเป็นแล้ว อ้า มันตันดัง(จมูก)ก็สั่งขี้มูกออก หาเรื่องเนี่ยไม่มี ขี้มูกละลาย หายใจได้สบายมา อ่ะ ไม่ตาย เพราะ

 

ความเมตตาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งให้เองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

 

นี่ ยกเอาตัวอย่างของพระเจ้าพิมพิสาร เป็นตัวอย่างเลี้ยงลูกมาพาลูกโต ได้เป็นเจ้าคนนายคน ก็เพราะว่าท่านอมจมูกดูดเอา สมัยก่อน สมัยวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญ หมอยังไม่เจริญ เพิ่นก็เอาความคิดของเพิ่นเอง อมจมูกลูกแล้วดูด ดูดปื๊ดๆ หลายๆ ครั้ง ออกมาหมด ลูกก็หายใจได้สะดวก อันนี้เป็นตัวอย่างให้พวกเราเคยเลี้ยงลูกมา ทุกคนเลยที่มาในนี้มีครอบมีครัว มีลูกมีเต้ามา ทำยังไง จะช่วยลูกด้วยวิธียังไง มันหายใจไม่ดีแล้วทำยังไง เออ บางทีก็ดูดเอาได้ บางทีก็หาเครื่องมาดูด ดูด เอาสายยางเข้าไปดูดออกมา อ้า ด้วยเครื่องดูดเสลดน้ำลาย ให้มันหายออกมาได้ อืม อันนี้ก็ผ่านทุกคนๆ ล่ะผู้เลี้ยงลูกมา เลี้ยงลูกมาจนเป็นพ่อคนแม่แล้ว เลี้ยงลูกอ่อนเป็นยังไง เออ ลำบากขนาดไหน เนี่ยให้ระลึกเสมอว่า บิดามารดาเมตตาเรายังไง ตั้งแต่เรายังไม่เดียงสา ช่วยตัวเองยังไม่ได้ พ่อกับแม่เป็นคนอดตาหลับขับตานอน ฟูมฟักรักษา ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว ถ้าอึออกมา เอามือฟาย(คว้า)ไปเลย เยี่ยวออกมา พ่อกับแม่ก็เป็นคนซักไปฟอกให้ ตากให้แห้งซะก่อนจึงมาใส่ให้ใหม่ แต่สมัยใหม่นี่ เขามี แพมเพิส(diaper ผ้าอ้อม)หรืออะไร อ้า เป็นสำลีนุ่งกางเกงให้ลูก เวลาฉี่ออกมาก็ เยี่ยวมาก็เยี่ยวใส่ที่นั่น เวลาอึ ออกมา มาอึใส่ที่นั่น เออ คอยซักคอยฟอกเอา ไม่มีเดียด(รังเกียจ)ล่ะ ไม่รังเกียจหรอก เอาไปโยนทิ้งเฉยๆ ก็ไม่ได้

เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทุกคนเคยเลี้ยงลูกมาตั้งแต่แต่งงานมามีลูกขึ้นมา ทำอะไรยังไงกับเขาบ้าง อ้า นี่เคยผ่านมาแล้วเหมือนกัน พิธีแต่งงานมาแล้วจึงต้องผ่าน ผ่านอย่างนี้เหมือนกัน ปัญหาอย่างนี้มีให้เราได้ฟูมฟักรักษา ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว อ้า ดูดจมูกลูก ดูดจมูกนั้นให้ขี้มูกมันออกมาหมด หายใจได้คล่องๆ ซะก่อน ดังนี้ปัญญา...ช่วยกันได้อยู่ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ล้วนแล้วแต่ผ่านมาด้วยกันทั้งนั้นผ่านตอน ตอนนี้มาเหมือนกัน เลี้ยงลูกอ่อนต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว อึออกมา ฉี่ออกมา ก็เป็นหน้าที่ของพ่อของแม่จะดูแทำความสะอาดให้ อ้า อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเข้ามา

 

บวชเป็นเณรให้รู้จัก นะ

บวชเป็นพระให้รู้จัก โม

ให้รู้จัก นะ โม

นะ ธาตุน้ำ โม ธาตุ ดิน

 

f67.psd

ให้รู้จัก เกิดขึ้นมาก็ต้องมีขี้มูก มีอึ มีฉี่ มีเยี่ยวออกมา ถ้าพ่อแม่ไม่ซัก ไม่ฟอก ไม่ล้างเรา เราจะได้เป็นผู้เป็นคนมาเท่าทุกวันนี้หรือเปล่า ลองคิดดูให้ดีนะ

 

คิดให้ซึ้ง พูดให้ระลึกได้

 

อ้า ฟูมฟักรักษาลูกมาด้วยความเหนื่อยยากลำบาก ไม่ท้อถอย เอาจนได้ปลอดภัย ได้เป็นสาวเป็นนางมา เออ ตั้งแต่น้อยๆ นู้นเลย อาบน้ำให้ ทาแป้งให้ แต่งตัวให้ เพื่อจะได้ไปสังคมกับเขา ถ้าเอาขี้หมูขี้หมาไปหลายๆ อย่างนี้คงไม่ ไม่ชื่นชม ให้ลูกอล่องฉ่อง น่ารัก น่าอุ้มซะก่อน อ้า จึงคอยเอาไป เอาอุ้มไปให้ชาวบ้านชาวเมืองเขาได้ชื่นได้ชม ด้วยแรงความรักที่มีต่อลูก เราทุกคนก็ต้องได้ผ่านมาทั้งนั้น ต้องเอาใจใส่ฟูมฟักรักษา ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว อดตาหลับขับตานอน สู้กับการเลี้ยงลูก นี่เพราะฉะนั้น เพิ่นจึงว่า

 

บวชเป็นเณรรู้จัก นะ

บวชเป็นพระให้รู้จัก โม

 

รู้จัก นะ รู้จัก โม ซะก่อน จึงไม่ดูถูกพ่อแม่ตัวเอง พ่อแม่นั่นเป็นคนฟูมฟักรักษา ดังที่แสดงมา

 

เหนื่อยแล้วนะ เหนื่อยแล้วนะ

 

จึงขอสมมติยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

 

(สาธุ)

 

คิดให้ถี่ๆ ก็หวีให้เกลี้ยงๆ เสียแล้ว

จึ่ง(จึง)ค่อยเดี่ยง(จัดแต่ง)เด้อ

 

 

สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง

ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

 

อุปสัมบัน คือ พระภิกษุ

อนุปสัมบัน คือ ผู้มิใช่พระภิกษุ

 

อาฬารดาบส กาลามโคตร ผู้บรรลุฌานขั้นที่ ๗

อุทกดาบส รามบุตร ผู้บรรลุฌานขั้นที่ ๘

 

มหาภิเนษกรมณ์ [มะ-หา-พิ-เนด-สะ-กฺรม]

การเสด็จออกบรรพชาของพระพุทธเจ้า

 

เสวยวิมุตติสุข สัปดาห์ที่ ๕

พระองค์จึงเสด็จไปประทับใต้ต้นไทร

ธิดามาร ๓ พี่น้อง คือ นางราคา นางอรดี นางตัณหา

ได้อาสาผู้เป็นบิดา ไปทำลายตบะเดชะของพระพุทธองค์

ด้วยการเนรมิตร่าง เป็นสตรีที่สวยงามในวัยต่างๆ

ตลอดจนแสดงอิตถียา โดยการฟ้อนรำขับร้อง

แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงเอาพระทัยใส่

กลับขับไล่ธิดามารให้หลีกไป

 

เทวษ เทวศ [ทะ-เวด]

การครํ่าครวญ ความลำบาก ความขัดเคือง

 

 

ทุกขัง ความเป็นทุกข์

อะนิจจัง ความเป็นของไม่เที่ยง

อะนัตตา ความเป็นของไมใช่ตน

 

อายตนะภายนอก

(รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์)

 

มธุปายาส คือ ข้าวสุกหุงด้วยนมโคจืดด้วยน้ำผึ้ง

ข้าวมธุปายาสในครั้งพุทธกาล เป็นอาหารที่ปรุงให้มี

รสหวานนุ่ม มีส่วนผสมของข้าวอ่อนที่ยังไม่สุกจัดคั้น

ออกจากรวงเป็นน้ำ แล้วหุงกับน้ำนมสดเจือด้วยน้ำผึ้ง

มีความข้นพอที่จะปั้นให้เป็นคำได้

 

พระปัญจวัคคีย์ได้ฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

แล้วได้ดวงตาเห็นธรรมในวันที่ ดังนี้

โกณฑัญญะ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘

วัปปะ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘

ภัททิยะ วันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๘

มหานามะ วันแรม ๓ ค่ำ เดือน ๘

อัสสชิ วันแรม ๔ ค่ำ เดือน ๘

 

พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ สำเร็จพระอรหันต์

ในวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘

 

 

ฌาน ๕ เหมือน ฌาน ๔

แต่แบ่งแบบอภิธรรม ให้ละเอียดขึ้น

 

๑. ปฐมฌาน

มีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

 

๒. ทุติยฌาน

มีองค์ ๔ คือ วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา

 

๓. ตติยฌาน

มีองค์ ๓ คือ ปีติ สุข เอกัคคตา

 

๔. จตุตถฌาน

มีองค์ ๒ คือ สุข เอกัคคตา

 

๕. จตุตถฌาน

มีองค์ ๒ อุเบกขา เอกัคคตา

 

 

คาถาบารมี ๓๐ ทัศ

การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์

ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี

วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี

เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี

บารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี)

บารมีชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี)

บารมีชั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี)

 

ทานะปาระมี สัมปันโน

ทานะอุปะปาระมี สัมปันโน

ทานะปะระมัตถะปาระมี สัมปันโน

เมตตา ไมตรี กะรุณา มุทิตา

อุเปกขา ปาระมี สัมปันโน

อิติปิ โส ภะคะวา ฯ

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นแล

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง บารมีคือทาน

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง การเกิดขึ้นแห่งทานบารมี

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง บารมีคือทานอันมีประโยชน์อย่างยิ่ง

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง พระเมตตาบารมี

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง พระไมตรีบารมี

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง พระกรุณาบารมี

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง พระมุทิตาบารมี

ทรงถึงพร้อมแล้วซึ่ง พระอุเบกขาบารมี

 

เวนิสวาณิช(The Merchant of Venice)

ของ วิลเลียม เชกสเปียร์(William Shakespeare)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็น กลอน ๘ บทละคร พ.ศ. ๒๔๕๙

 

The quality of mercy is not strained.

อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่

 

It droppeth as the gentle rain from heaven

หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ

 

Upon the place beneath. It is twice blest:

จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน เป็นสิ่งดีสองชั้น พลันปลื้มใจ

 

It blesseth him that gives and him that takes.

แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล

 

‘Tis mightiest in the mightiest; it becomes

The thronèd monarch better than his crown.

His scepter shows the force of temporal power,

เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น

 

The attribute to awe and majesty

เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา

๖๐