หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

พระธรรมเทศนา วันธรรมสวนะ

วันพุธที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๙.๓๐ น.

ณ วัดทองเนียม แขวงหนองแขม

เขตหนองแขม จ.กรุงเทพมหานคร

ฝนตกหนัก

มันเคยเป็นประเพณีของบ้านเมืองทางโน้น ตอนฟังเทศน์ฟังธรรม ต้องสมาทานศีลกันซะก่อน เออ มันก็เลยออกมาอย่างนี้ปะเนี้ย มันก็เลย... เขาเทศน์... มันออกมาทางสมาทานศีลกันซะก่อน อันนี้เป็นวิธีเบื้องต้นของพุทธบริษัท ไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนถ้าเป็นพุทธบริษัท ต้องมีการสมาทานศีลซะก่อนจึงฟังธรรม จึงฟังเทศน์ เรียกว่าล้างภาชนะซะก่อน จึงเอาไว้ตักอาหารการกิน จึงตักอาหารหวานคาวทุกชนิด ถ้าถ้วยไม่ได้ล้าง ภาชนะไม่ได้ล้าง ไม่สะอาด จะเอาไปตักอาหารมันก็ไม่เหมาะไม่พอควร ก็เหมือนกันล่ะ ไอ้พวกเราจะปฏิบัติธรรม จะฟังธรรม ต้องล้างหัวใจซะก่อน ด้วยการรักษาศีล สมาทานศีล ให้สะอาดหมดจดซะก่อน เมื่อกายวาจาใจสะอาดหมดจดไม่มีโทษแล้ว ปะนี้จะบรรจุเอาธรรมะคำสั่งคำสอน จึงเปรียบเหมือนอาหารที่มีรสเลิศต่างๆ เอามาใส่ภาชนะ ใส่ถ้วย ใส่ชาม ใส่อะไร ที่ล้างสะอาดอล่องฉ่องแล้ว จึงเอาไปแจกกันกิน เอามาภาชนะสะอาดแล้ว ล้างแล้ว บรรจุมาด้วยดี มาต้อนรับแขกก็ดี ถวายพระก็ดี สะอาดหมดทุกอย่างแล้ว...ไม่มีโทษใดๆ ไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทุบหัวเอามาไม่ๆ มีอย่างนั้น เอาของตายแล้วทั้งนั้น มาทำบุญ สะอาดมาแล้วเวลาทำเสร็จแล้ว สุกแล้ว จะยกไปถวายพระ หรือจะเลี้ยงแขก ตักมันลงไปประเคนท่านพระคุณเจ้า แล้วก็ยกไปต้อนรับแขก ให้โยมทาน มีการทานอาหารๆ ตรงไหนๆ เลี้ยงกันยังไงๆ เอาไปตั้ง ของนี้บริสุทธิ์แล้ว เจ้าค่า ของนี้บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ไม่ได้ฆ่าใครมา ของตายแล้วจึงมาทำ ทำเสร็จแล้ว สุกแล้ว เชิญรับประทานตามสบาย ตามอัธยาศัยจะมากหรือน้อย ถ้ามันรสดีก็อาจจะกินได้มาก ถ้ารสไม่ดีก็ไม่เอาไหนเลย ตักชิมใส่ปากดู ก็รู้ปากดู ส่ายหัว ไม่เอาไหนเลย เออ ส่ายหัวแปลว่าไม่เอาไหนเลย รสอาหารเหล่านี้ ถ้าพยักหน้า อืมๆ กินแล้วรู้จักรส อร่อยไหม ไม่อร่อย อร่อยมากๆ เลย

ถ้าบางแห่งบางประเทศเขาก็มียกนิ้วให้อย่างดี ยกนิ้ว แอ้ ขอยกนิ้วให้อย่างนี้เรียกว่า แซ่บหลาย อร่อยมาก กินได้เยอะ เออ อันนี้ก็เหมือนกันธรรมะ เหมือนอย่างกินอาหาร รับประทานเหมือนกัน ถ้ามีรสเลิศถึงอกถึงใจ ก็จะพยักหน้ารับเอา เป็นเอา โฮ เราก็หลงทำมานานแล้ว ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตก็ทำ ทำอะไรๆ ที่ผิดศีลธรรมทั้งหลาย เราทำไปมากแล้ว บัดนี้ รู้จักแล้ว รู้จักรสของธรรมแล้ว เพิ่นให้เว้นจากการฆ่าสัตว์ เพิ่นให้เว้นจากการลักทรัพย์ เพิ่นให้เว้นจากการ อ้า ประพฤติผิดในกาม ร่วมประเวณี
ในภรรยาสามีผู้อื่น ให้เว้นจากกล่าวเท็จคำไม่จริง หลอกลวงซึ่งกัน
และกัน
ทำให้เขาฉิบหาย เว้นจากดื่มน้ำเมา นอกจากน้ำเมาแล้วมียาเสพติดให้โทษทุกชนิด เป็นโทษตามกฎหมายด้วย เป็นโทษทางศีลธรรมของตัวด้วย ทำให้ใจเราเศร้าหมอง ขุ่นมัว เป็นทุกข์ ไม่เป็นสุขเลย ถ้าศีลเราหมองมัน มันเป็นทุกข์ มันไม่เป็นสุขเลย ถ้าได้กินของสะอาดสะอ้านได้ มีอาหารหวานและคาวถูกปาก ถูกคอ อะไรอร่อยดี เนี่ย ดีอกดีใจ ดี ก็เหมือนกันกับรับประทานอาหารนั่นเหมือนกัน

มีการฟังเทศน์ เป็น เป็นบรรยายศาสนธรรม คำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์ ผู้ที่เกิดก่อนเรา ท่านรู้บาปบุญคุณโทษหมดแล้ว ท่านจึงออกมาประกาศให้ญาติโยมทั้งหลาย ได้ซาบซึ้ง ตรึงใจ เข้าอก เข้าใจเข้าใจผิดมันนานมาแล้วบางอย่าง บัดนี้ ได้ฟังเทศน์แล้ว ก็เกิดความเข้าใจถูกขึ้นมา เราไม่ฆ่าสัตว์ทุกชนิด เราไม่ลักทรัพย์ของผู้อื่นทุกอย่างเลย เราไม่กล่าวเท็จคำไม่จริง เราไม่หลอกลวงอำพรางผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดศีลธรรม นอกใจสามี นอกใจภรรยา ไม่ทำอย่างนั้นแล้วเรา รู้แล้ว มันเป็นบาปเป็นกรรม สำหรับการกระทำอย่างนั้น นี่ เขายอมเข้าใจความประพฤติดี เข้าใจแล้วกำหนดจดจำเอาไว้ประพฤติปฏิบัติต่อไป ไม่ให้ขาด ไม่ให้ด่างพร้อยได้เลย เรียกว่าศีลสมบูรณ์ เป็นศีลที่สมบูรณ์ ไม่ขาดตก ไม่บกพร่อง

บางรายไม่รู้จักความหมายของการสมาทานศีล กำลังรับศีลอยู่ ถ้าเผอิญ ยุงหรืออะไรมากัด ทนไม่ไหว ตีไปเลย พรับเลย ปาณาฯ ยังไม่จบเลยตายแล้ว ตัวยังเหลือ ๒ ตัวแล้ว ๓ ตัวแล้ว ตียุง ฆ่ายุง ให้เป็น ยุงมันก็เป็นสัตว์ เหลือบก็เป็นสัตว์ สัตว์กัด... มาต่างๆ ที่บินได้ก็ดี เดินตามดินก็ดี เขาเป็นสัตว์ เราเลิกแล้ว สมาทานแล้ว เราไม่ฆ่าสัตว์ กำลังพูดอยู่เดี๋ยวนี้ ก็พูดเรื่องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของเรา เราเลิกจริงๆ ดีกว่า

 

ปาณาติปาตา เวระมะณี

 

เนี่ย ยังไม่จบ เอาซะแล้ว ตายแล้วตัวหนึ่ง ๒ ตัว นี่เรียกว่าไม่มีความ ไม่มีเจตนาที่จะงด จะเว้น จะละ มันก็ไม่เป็นบุญเป็นกุศลกับใจเรา ถ้าเรารักษาได้แล้ว ของแล้ว ดีแล้ว มีความสุข มีกายเป็นสุข เวลานั่งสมาธิ ใจมันก็สงบสุข ไม่ฟุ้ง ไม่ซ่าน ไม่แส่ไม่ส่าย ไปหาอารมณ์อย่างอื่น เราจะนั่งสมาธิให้ใจของเราสงบเราจะเอาแต่ พุทโธ พุทโธ เท่านั้น อันนั่งสมาธิเพิ่นก็บอกอยู่ หายใจเข้า ให้ระลึกว่า พุท เวลาลมออกมา ก็ระลึกว่า โธ ออกมา เวลาหายใจเข้าก็ พุท เวลาลมออกก็ โธ อยู่ๆ แค่นั้น ไม่ให้ไปอย่างอื่น ความคิด เครียดงานการสร้าง ก่อสร้างอะไรตามบ้านก็ดี เราจะมาเอาหน้า เราจะเอาแค่นี้ ไม่เอาหลาย จะเอาแต่แค่ พุทโธ หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ แค่นี้แหละ ถ้าไม่เอามาก แต่ว่าหลายอยู่ธรรมะ แต่เวลาเข้าสมาธิภาวนาจริงๆ มันเอาแค่นั้น เอาแค่ พุทโธ แค่นั้น

อย่าไปเอามาคิดอย่างอื่น อ้า เรื่องรัก เรื่องชัง เรื่องยินร้าย เรื่องดีใจ เรื่องเสียใจ ร้องไห้ หัวเราะ เหล่านั้น ทิ้งหมด ไม่เอามาคิดให้มันหนักใจเรา หนักสมองเราทำไม รู้จักวางสิ่งเหล่านี้นะ ตอนภาวนา ให้รู้จักวางตอนนั่งสมาธิภาวนา อย่าให้เสียโอกาสดีๆ อย่างนี้ มีโอกาสได้เข้ามาปฏิบัติธรรมในสถานที่อันสมควร ได้รับความสงบสงัด เพิ่นทำยังไง สาใจ ให้สมใจอยาก อยากจะภาวนา อยากจะนั่งสมาธิให้ใจสงบจากอารมณ์ร้ายต่างๆ พวกเราก็อาจจะผ่านอารมณ์ร้าย ซึ่งเป็นมรสุมของหัวใจ เรื่องรักก็เป็นมรสุมชนิดหนึ่ง เรื่องชังก็เป็นมรสุมอีกชนิดหนึ่ง เรื่องโกรธก็เป็นมรสุมชนิดหนึ่ง เรื่องโลภ เรื่องหลง เรื่องรัก เรื่องใคร่ เรื่องยินร้าย เรื่องยินดี ยินดี ดีใจ เสียใจร้องไห้ หัวเราะ เหล่านั้น มันเป็นมรสุมหัวใจ เราจะทำให้มันสงบทำยังไงล่ะ อย่างนี้กำลังฟังเรื่องทำให้ใจสงบ ถ้าใจสงบลงไป มันจะเกิดปัญญาขึ้น โอ้ ดีหนอ ใจสงบนี้ดี ไม่ต้องยินร้าย ไม่ต้องยินดี ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ อ้า

สบายบรื๋อ อยู่อย่างนั้น หายใจเข้าก็รู้ มันเย็นเข้าไป เวลาลมออกก็รู้ มันวาบออกมา ถ้ากำหนดของที่เสียอยู่ในหัวใจเรา มันออกไปหมด เออ อารมณ์ค้างอยู่ในหัวใจเรา ให้ปล่อยมันออกมาตามคำบริกรรมนั้นๆ หายใจเข้า ก็หายใจเอาของบริสุทธิ์เข้าไปในหัวใจเรา พุท ยาวๆ เวลาออกมาก็ โธ ยาวๆ เอาให้มันหมดอารมณ์อยู่ในหัวใจ อารมณ์โกรธๆ อารมณ์เครียด อารมณ์เดือดอารมณ์ดาล อะไรมันเกิดขึ้นที่ใจเรา มันเกิดบ่อยๆ แล้ว

การอยู่ด้วยกันน่ะ ๒ วัน ๓ วัน ผิดใจครั้งหนึ่ง ทะเลาะกันครั้งหนึ่ง เออ หรือคิดอยู่ทุกวันก็มี บางรายเราก็ขอโทษ บางรายอาจจะทะเลาะกันทั้งเช้าทั้งเย็น เรื่องเรามีครอบมีครัว มีลูก มีหลานที่จะรับผิดชอบ หลายอย่างทีเดียว เพราะฉะนั้น จึงเกิดการทะเลาะวิวาทบาดถลุงกันอยู่เรื่อยๆ มันไม่สงบสักที บัดนี้เรามาเข้าวัดเข้าวา มาทำงานความสงบใส่ตัวเอง ยังไม่เอาอารมณ์ข้างนอกเข้ามายุ่งเกี่ยวอยู่ มันถูกหรือเปล่าล่ะ มันถูกหรือเปล่า ไม่ถูก ใครเอาอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ตั้งแต่วันก่อนโน้น เอามาวิจัยวิจารณ์ คิดขึ้นมา โกรธขึ้นมาใหม่อยู่อย่างงั้นแหละ ที่มันแล้วไปแล้วให้อโหสิกรรมกันนะ อโหสิกรรมโทษกันนะ สามีภรรยาเคยทะเลาะกันก็อโหสิโทษกันซะ อย่าเอามาคิดอีก ให้มันปวดสมอง ให้มันปวดหัว ทำไมมัน ๒ วันไปแล้วทำไมเอามาออกอีก เราถือของหนักมาตลอด เรา มันเมื่อยมือ เราก็ให้วางไว้ซะ หรือว่ามันหนักบ่า ก็ปลดไว้ก่อน วางไว้ก่อน พัก เขาเรียกว่าพักเหนื่อยมัน มีเวลาพักเหนื่อย คือการปฏิบัติธรรมน่ะ พักซะ พักเหนื่อยซะก่อน ไม่ต้องปรุง ไม่ต้องแต่ง ไม่ต้องขบ ไม่ต้องคิดปัญหาอะไร อย่าเอามาคิดให้มันเหนื่อยหัวใจตัวเอง ไม่ดี ไม่ได้พักผ่อนเลยถ้าอารมณ์มาขบคิดพินิจพิจารณา เอาอารมณ์ทางโลกๆ มาพิจารณาทำไม พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ท่านว่า อย่า อย่านะ เออ เจ้าของอย่านะ เออ อย่าไปคิดอย่างนั้นนะ อย่าไปปรุงมันอย่างนั้นนะ ความรักก็ดี ความชังก็ดี มันก็เกิดขึ้นที่ใจเหมือนกันล่ะ ถ้าไปหอบเอามาไว้เป็นอารมณ์ มันก็เป็นทุกข์ตัวเองใช่ไหม เออ ไปหอบเอาอารมณ์ภายนอกมัน เข้ามาไว้เก็บไว้ใจ มันทุกข์ใครล่ะ ทุกข์เราอีก อ้า เป็นทุกข์เราเอง เกิดนอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านรำคาญอยู่อย่างงั้น เข้าใจว่าสามีไม่รักเราจริง เข้าใจว่าลูกๆ ไม่รักเราจริง รบกวนเราอยู่บ่อยๆ อ้า ขออันนั้น ขออันนี้อยู่บ่อยๆ ลูกเขาก็ไม่รักเราเท่าไหร่หรอก ถ้าเขาคิดจะมาเก็บ มากำ มากอบ มาโกย มาโกงเอาของเราไปอย่างนั้นล่ะ อ้า ถ้าเราไม่ เขาไม่รักเราจริง ถ้าเขารักเราจริงๆ ไม่มี ไม่มีเก็บ ไม่มีกำ ไม่มีกอบ ไม่มีโกย ไม่มีขอเงิน ขอทอง ขออะไรหรอกมากมาย พ่อแม่ฟันฝ่ารับภาระเรามาตั้งแต่อุ้มท้อง

 

มาตาเปตติกะสัมภะโว

 

เพิ่นก็ว่า มารดาบิดาเป็นผู้ออกผู้อุ้ม รับผิดชอบเรามาก็ใช่ ถ้าบิดามารดาทอดทิ้งเราซะตั้งแต่น้อย เกิดขึ้นมาไม่เลี้ยงดูล่ะ บางคนตามนิทานเก่า ว่าเอาลูกไปโยนน้ำซะ เอาลูกไปโยนในป่าช้าซะ ให้มันตายแห้ง แข็ง แหงแก๋ไปเองทำนองนี้ นั่น พวกเราผู้มีศีลมีธรรมแล้วจะทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า ไม่ได้เลย ลูกร้อง แอ้ เวลาไหน เอามือถือสายเปลเวลานั่น เสียงร้องไห้อยู่ คว้าแต่สายเปลมาเลย ร้องไห้ไม่หยุดก็ไกวไปไกวมา เอ้ มันเป็นอะไร มันร้องไห้ผิดปกติ ร้องไห้ มันจะเจ็บท้องหรือเปล่า มันจะปวดอึหรือเปล่า ปวดฉี่หรือเปล่า อุ้มออกมาดู ดูสถานการณ์ทั้งหลายทั้งปวงดีอยู่หมดทุกอย่าง มันจะเจ็บท้อง ปวดหัวหรือเปล่า เท้ามันปวดหรือเปล่า เท้ามันปลิ้นหรือเปล่า เออ ทำยังไงเราจะรู้ เพราะเราไม่ได้เรียนไม่ได้รู้ ออกกันไป ติดรถ นั่งรถ เดินออกไปหาหมอ โรงพยาบาล ให้หมอพิจารณาให้ โอ้ เพิ่นท้องเสีย อ้า เพิ่น ท้องเสีย มันท้องอืด ต้องเลี้ยงด้วยน้ำร้อน เขาหวังใส่ยาให้ ทีนี่เราเอายาผสมนมให้กิน ให้มันหายซะ เออ กินยาแล้วหาย เออ ถูกยาแล้ว นอนหลับสบาย ลูกร้องไห้ไม่หยุดซะที ใครเป็นทุกข์ แม่เป็นทุกข์ พ่อเป็นทุกข์ ผู้ปกครองทั้งหลายเป็นทุกข์ ผู้รับผิดชอบทั้งหลาย ถ้ามีเป็นพี่ผู้รับผิดชอบน้อง ก็ต้องเป็นทุกข์อยู่นั่นแหละ ก็ต้องให้มันหยุดร้องไห้ซะก่อน หยุดซะก่อน สบายซะก่อน หัวเราะร่าเริงซะก่อน หยอกบ้าง หัวเราะได้ อะไรได้ ถ้าหัวเราะเป็นแล้ว สบายใจ พ่อแม่สบายใจ

เพราะฉะนั้น พวกเราต้องระลึกถึงบุญคุณของพ่อของแม่ไว้เสมอ การถือพระพุทธศาสนาไม่ใช่มาถือเฉยๆ ไปย่ำยีหัวใจพ่อหัวใจแม่ ไม่ถูก ทำยังไงใจพ่อใจแม่จะเย็นตามเรา ขอให้พ่อแม่ใจเย็นตามเรา เราจะภาวนาให้ใจมันอิ่มเอมซะก่อน ให้ใจเราเย็นซะก่อน พ่อแม่เห็นกิริยาอาการของเรา สงบเสงี่ยมเจียมตัวทุกอย่าง พ่อแม่ก็เกิดความดีใจ โอ้ ลูกตั้งแต่ไปประพฤติปฏิบัติธรรมะ เข้าวัดเข้าวามา ไม่เหมือนเดิม ผิดปกติเดิม ไม่วู่ไม่วาม ไม่โต้ไม่ตอบ คำพูดคำว่า คำด่าของพ่อของแม่ไม่มี ไม่มี ว่านอนสอนง่ายขึ้นอย่างงี้ เป็นที่พออกพอใจของพ่อของแม่ใช่ไหม ถ้าลูกเป็นยังงั้น ไม่ดื้อไม่ดึง ไม่ดื้อไม่รั้น ไม่ดันทุรัง เหมือนแต่เก่าแต่ก่อน ตั้งแต่ไปปฏิบัติธรรมมาเนี่ย ไม่เป็นอย่างงั้น เป็นคนฮู้(ดี รู้จักกาลเทศะ) เป็นคนดี เป็นคนสงบระงับ ไม่ปากกล้าสามานย์ สิ่งใดที่ผิดหูพ่อหูแม่ เราก็อย่าเอามาพูด มาด่า มาว่า คำดุด่าป้อย(ด่า)แช่งกันมีประโยชน์อะไร ไม่มีประโยชน์ ทำให้จิตฟุ้งซ่านเฉยๆ จิตฟุ้งซ่านรำคาญใจ แอ้ ทำให้เราเป็นทุกข์ขึ้นมาอีกต่างหาก แน่ะ มันเป็นอย่างงั้น ทุกข์จะเกิดก็เพราะมีเรื่องกระทบซะก่อน มีเรื่องกระทบหูเป็นเสียงไม่ไพเราะ เออ เขาว่าอย่างงั้น เขาว่าอย่างงี้ กระทบหูเรามา เราปรุงแต่งขึ้นตั้งรับก็ดี โอ้ทำไมว่าอย่างงั้น เราไม่เป็นอย่างนั้น เราไม่เป็นอย่างที่เขาว่า โกรธขึ้นมา ไม่ได้ดีใจหรอก และถ้าเรามีอารมณ์โกรธอยู่มันก็โกรธหนักกว่าเดิมอีก ถ้าเราเป็นผู้ชนะความความโลภ ความโกรธ ความหลงได้แล้ว พอเขาว่าแค่นั้นยิ้มฟัง ยิ้มแล้วก็ฟัง ไม่ได้ยิ้มเย้ย ยิ้มฟัง อ๋อ เราโกรธไหม ไม่โกรธ เราแค้นไหม ใจไหม ไม่มี ไม่แค้น ไม่ใจหรอก ตรวจดูเราทันที อ้า ทุกครั้ง ถ้าเรายังไปคิดไปถือ มันเราก็หนักเราอีกแหละ เขาด่ามาอย่างงี้ เขาก็อยากจะด่าไปอย่างงั้นให้มันสาใจ อะเฮ้อ อ้า เป็นดังเอาจอบเสียม คืออะไร จับขึ้นมา เอาค้อนมาตี กิ้งๆๆๆๆ มันก็ดัง กิ้งๆๆ ดัง เป็นจอบก็ดี เป็นเสียมก็ดี เป็นมีดฟันไม้ก็ดี เอาของแข็งๆ มาเคาะกัน มันจะดังกิ้งๆๆๆ ขึ้นมา อ้า

ตีระฆัง ตีฆ้อง ตีกลองก็เหมือนกัน ถ้ามีเครื่องกระทบมันจะผ่อน เสียงมันจึงดังขึ้นมา โอ้ พระตีกลองแล้ว วันพระหรือเปล่า อะเฮอะ พระตีกลองแล้วตอนเช้ารุ่งอรุณ ตีกลองให้ญาติโยมรู้จักวันพระวันเจ้า จะได้มาทำบุญใส่บาตรกันที่วัดได้ทั่วถึง หรือว่ามีการประชุมอะไรๆ ก็ต้องให้สัญญาณเสียงซะก่อน ให้สัญญาณเสียงนัดหมายเสียก่อนตามเป้าหมาย เออ ถ้าอยู่ในทหารตำรวจ อยู่ในสนามรบเอาอะไรเป็นสัญญาณ ถ้าได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังขึ้น แสดงว่ามีข้าศึกมาแล้ว เออ พวกเราต้องเตรียมพร้อม เสียงปืนใหญ่ดังขึ้นตรงนู้นดังตรงนี้ มากเข้าๆ ข้าศึกมาแล้วเราต้องเตรียมพร้อมไว้เสมอ ไม่ได้นั่งเฉย เสียงฆ้อง เสียงกลองอะไร มีสัญญาณอะไร เราฟังรู้เรื่อง ตีหนำๆ ตีแป็งๆๆๆๆ รีบมาๆ ...เออ มันดังขึ้นมาอย่างงี้ อ้า ...

(เสียงเคาะแก้ว) แค่นี้ก็รู้จัก ...อันนี้เสียงดังแบบนี้ไปเลย ...อันนี้เสียงดังแบบนี้เนาะ(นะ) เออ วันนี้เสียงดังสัญญาณซะก่อน ให้รู้จักว่านัดหมายอะไรหรือเปล่า ที่วัดมีหมายอะไรหรือเปล่า ลุกเตรียมตัวไว้อยู่หลายอย่างเรียบร้อย เรียกลูกศิษย์ลูกหา ถ้าลูกศิษย์เหล่านั้นนอนหลับทับสิทธิ์แล้ว เขาไม่มาฟังซะก่อน ถ้ามันเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยหรือตกอะไร ถ้ารับภาระแล้ว เราก็ใช้สัญญาณอย่างงี้เอาทั้งนั้น มีสัญญาณอะไรดังขึ้น อ้า ผิดปกติ มันกลางคืนมันกลางดึก มันมีอะไร มีคนร้ายขึ้นมาข่มเหงหลวงปู่ หรือเปล่า อ้า จะได้แก้ไขทันสถานการณ์นั้น ต้องมีไว้อยู่ในตัวล่ะ มีไว้ติดตัวไว้เนี่ย ไม่เดือดร้อนใครหรอก เออ จะไปเอิ้น(เรียก) ไปเรียกด้วยปาก มันก็เสียงไม่ดัง ถ้าติดเครื่องขยายขึ้น เรียกหมู่ทั้งวัดก็จะเดือดร้อนทั้งวัด เอาแต่ผู้อยู่ใกล้กว่า อยู่ใกล้ๆ เคยปฏิบัติครูบาอาจารย์ ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว อาบน้ำอาบท่าให้ แน่ะ เสียงสัญญาณพก ครูบาอาจารย์ต้องมีไว้ สำหรับเรียกลูกศิษย์ ถ้ามีอะไรเดือดร้อน ก็อันนี้

 

ลูกศิษย์นี้ คนเมื่อวานไปไหนหว่า เออ ฝน ฝนมันมันฟังเทศน์อยู่เนาะ(นะ) เออ มันฟังเทศน์ถึงสงบลง

 

ทุกคนเข้าใจว่าไม่ให้ลุอำนาจของใจที่มันโกรธ ไม่ให้ลุอำนาจของใจที่มันชัง ความโกรธ ความโลภ ความหลงเหล่านั้นมันหัวใจของเรามันคิดเอง คิดขึ้นมามันลุอำนาจแก่ความคิดอันนั้น จะเกิดทะเลาะวิวาทกัน ไม่ลงรอยกัน ไม่โอเค ไม่โอเค อะเฮ้อ เออ
คำว่าโอเค เขาเอิ้น(เรียก)อย่างนี้น่ะ โอเคกันนะ เออ อย่าทะเลาะ ให้อภัยกันดีกว่า ใครผิดอกผิดใจตรงไหน ขอโทษขออภัยเด้อ
คุณพ่อ คุณตา คุณยาย เพื่อนเอ้ย ป้าเอ้ย น้าเอ้ย วันนั้นฉันอารมณ์เสียขอโทษหลายๆ พูดไปไม่ฟังฟ้าฟังไฟอะไร มันมืด มืดมิดปิดปัญญา ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ทำให้โกรธขึ้นอย่างแรงๆ แล้วก็ออกเสียงไม่ไพเราะกับหูท่านทั้งหลายผู้ฟัง

เพราะฉะนั้น ขอโทษ ถ้าผิดพลาดไปแล้วก็ขอโทษทุกครั้ง อ่ะ พนมมือขอโทษ หรือมีดอกไม้ดอกอะไรใส่มือให้ ขอโทษ อ้า ป้าเอ้ย ลุงเอ้ย ตาเอ้ย ตาเอ้ย ยายเอ้ย พูดไปวันนั้นๆ ข้าพเจ้าพูดผิดไป ทำให้กระทบกระเทือนหัวใจของพ่อของแม่ มันจะเป็นบาป เพราะฉะนั้น พ่อแม่ทั้งหลายจงให้อภัยแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด เจ้าข้า แล้วก็รับให้มันสวยๆ งามๆ ไม่มีเรื่องที่จะทะเลาะกันขึ้นเกิดขึ้น ไม่มีๆ ไม่มีหัวใจแบบนั้น หัวใจเรายิ้มไว้เสมอตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมา ไปปฏิบัติธรรมมา ตั้งแต่วันเข้าวัดเข้าวา ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรมมา หัวใจดีกว่าเดิมกี่เปอร์เซ็นต์ รู้จักไหมมัน มันเย็นลงกี่เปอร์เซ็นต์ มันไม่ร้อนเหมือนเก่า

นั่นแหละเรียกว่าได้ ได้ผล ได้ผลแล้ว มันได้ผลแล้ว เราปฏิบัติธรรมมาได้ผลแล้ว มันเย็นไม่เหมือนเก่า แต่ก่อนคนอื่นจะมาพูดผิดหูกูแว้งใส่อย่างหนักเลย เออ ไม่มีความดีล่ะ ถ้าเข้าใจแล้วก็ รู้แล้วล่ะย่ะ ลงไปแหละแม้เป็นเสียงไม่ไพเราะ รู้แล้วค่ะ ก็ไม่ว่า ถ้ายังโกรธอยู่ รู้แล้วล่ะย่ะ อะเฮ้อ เสียงแข็งๆ เสียงแข็งๆ ยังไม่ลงรอย ถ้าเสียงอ่อนๆ เรียกว่าใจยอม ยอมแล้วไม่โกรธกันต่อไปแล้วเรา อโหสิโทษ ขอโทษขออภัยกันแล้ว ให้อภัยกันได้ นี่เรียกว่าปฏิบัติธรรม ปฏิบัติคุณงามความดีให้มันเกิดขึ้นที่ใจ ศีลก็เกิดขึ้นที่ใจ สมาธิก็เกิดขึ้นที่ใจและก็ปัญญามันจะไปไหน ปัญญาก็ไปเกิดขึ้นที่ใจเหมือนกัน มีปัญญา รู้ดี รู้ชั่ว อ้า รู้จักอด รู้จักออม อ้า ไม่ดุร้ายเหมือนเดิม นั่นเรียกว่าห้ามได้ ได้ความ ห้ามได้ ห้ามอยู่ ไม่ลุอำนาจของจิตใจตัวเอง ให้มันเลยเถิดไป จนกลายเป็นความทะเลาะวิวาทบาดถลุงกัน มันก็แตกร้าวกัน เพราะฉะนั้น ความอยู่ร่วมกันเป็นหมู่มาก ถ้ามีความสงบมันก็สม อย่างหมู่บ้านของพวกเรามาจากต่างถิ่นต่างแดน มาจากจตุรทิศทั้ง ๔ มาพร้อมกันที่อารามแห่งนี้ เพื่อจะมาฟังเทศน์ มาฟังธรรม ฟังไปทำไม ฟังไปด่าตัวเอง ทะเลาะกับตัวเองไม่เป็นไรหรอก เฮ้ย มึงยังโลภอยู่เหรอ เฮ้ย มึงยังเกิดอยู่เหรอ โกรธอยู่เหรอ มึงยังโลภโมโทสันอะไรเขาอยู่เหรอ มึงทำไมถึงว่ายากสอนยากขนาดนี้

พระพุทธเจ้าท่านสอน อ้า จนสิ้นลม ท่านปรินิพพานไป ท่านสอนจนวาระสุดท้าย สอนจนสิ้นลม สุภัททะปริพาชกเข้ามาเวลากำลังจะเข้าฌานแล้ว พระพุทธเจ้ากำลังเข้าฌานแล้ว ขอเฝ้า ขอเฝ้า ขอถามปัญหากับพระพุทธเจ้าสักคำสองคำเน้อ พระคุณเจ้าอานนท์ อนุญาตเถอะ พระคุณเจ้าองค์ไหนอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้กราบ วาระสุดท้าย ข้าพเจ้าไม่ไว้ใจตัวเอง มันจะตายวันตายคืนอยู่เนี่ย เออ เฒ่าแล้ว แก่แล้ว ขอฟัง อ่ะ ห้ามไม่ให้ฟัง ห้ามไม่ให้ฟัง

พระพุทธเจ้าได้ยินเสียงห้าม เพิ่นก็ออกปาก »ÅèÍÂãห้เธอ เข้ามาได้ อานนท์เอย ปล่อยให้สุภัททะà¢éÒÁÒä´é อ้า ᡨÐÃÕºเร่ง ·Ó¤ÇÒÁà¾ÕÂÃãËéได้เต็มที่ ให้ได้ดวงตาเห็นธรรมก่อนปรินิพพาน อ้า ในคืนวันนั้นๆ ทีเดียว เขาก็ปล่อยโอกาสให้สุภัททะปริพาชกคนแก่คนนั้นเข้าไปกราบ สงสัยอะไร ถามมาเลย อย่าไปถามนอกลู่นอกเรื่องนะ อ้า ถามเบื้องต้นก็ถามว่า รอยสัตว์ในอากาศมีไหม เฮ้ยๆ เธอไม่ต้องพูดไปถึงนู้นหรอก จะถามเรื่องของตัวดีกว่า รอยสัตว์ในอากาศจะไปเอามาพูดทำไม

อารมณ์ที่ผ่านไปแล้วก็ยังเอามาพูด เอาอารมณ์ที่ยัง มันมีอยู่มาพูดกัน ใจมีความโลภขนาดไหน มีความโกรธขนาดไหน มีความหลงขนาดไหน มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในหัวใจของเราขนาดไหน นี่เป็นเรื่องของเราที่จะบริหารมัน ถามเรื่องอย่างนี้ ไปถามรอยฟ้า รอยอยู่ในอากาศมีไหม เออ เฮ้ย โง่ไปแล้ว ไม่ดี อย่าถามเลยนะ ให้ถามเรื่องที่มันมี ที่ประสบกันอยู่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันนี้ของจำเป็น ที่จะต้องได้ประสบเห็นทุกคนๆ ถามเรื่องนี้ดีกว่า เออ อย่างว่า พระพุทธเจ้าเพิ่นบอก อืม จึงได้ความที่มีโยมมาถามว่า อ้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเหล่านี้มันไม่ใช่ตัวใช่ตน ขนลุกขึ้นมา ลุกขึ้นมาเพราะพุทธเจ้าบอก อ้า เราไม่ใช่ทำแต่ความเพียรอย่างเดียว ตลอดคืน

วันนี้ อ้า เอาทั้งคืนเลยเนี่ยออกมาแล้ว ขอบวช ขอบวชซะก่อน โกนหัวซะก่อน ขอบวชซะก่อน ทำความเพียรตั้งแต่นั้นมา จนสว่างทำความเพียรจนสว่าง เอ้ เห็นพระอาทิตย์ขึ้นหรือยังวะ มองอยู่ เอ้ พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น ทำไมมันสว่างขนาดนี้ อืม ใจเราสว่างในธรรมต่างหาก พระพุทธเจ้าว่าเธอเห็นธรรมแล้ว ต่อไปเธอจะได้ดวงตาเห็นธรรม เอาที่สุดความสว่าง เอาทำความเพียรจนเต็มที่ พอสว่าง ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สุภัททะปริพาชก พราหมณ์บวชเมื่อแก่คนนั้น ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในวันที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ในวันนั้นดังนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเราทำจริง เฮ็ด(ทำ)จริง ทำจริงทำจัง เอาจริงเอาจังกับมัน เราก็จะได้ดวงตาเห็นธรรมเหมือนกันนะ เออ เห็นธรรม ความโลภไม่ใช่เรา ความโกรธไม่ใช่เรา ความหลงไม่ใช่เรา ความรักไม่ใช่เรา ความชังไม่ใช่เรา โลภ โกรธ หลงไม่ใช่เราทั้งนั้น เราปรุงขึ้นมาเอง กินเข้าไปๆ มันก็เต็ม(วัง)สะพุง มันก็พุ่งออกมา เนี่ยเพิ่นว่าอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ว่า ไปกินมันทำไมอารมณ์ วางมันซะวางมันได้ อย่าเอาความโกรธมาพิจารณา อย่าเอาความโลภมาพิจารณา อย่าเอาความหลงรักหลงใคร่มาพิจารณา เอาความใจที่รู้นั่นน่ะมาพิจารณา

รู้ พุท รู้ โธ หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ มันสั้นหรือยาวให้รู้ตามมัน ทำไมส่งไปทางอื่น นี่แหละพุทโธ อย่างนั้น สั้นเข้าๆๆ มีแต่รู้ๆๆ คำเดียว เออ มันจะไปไหน กิเลสมันจะมาจากไหน มันก็เกิดจากใจเรานี่แหละกิเลส ความรัก ความชัง ความยินดี ความยินร้าย ความดีใจ ความเสียใจ ความร้องไห้ ความหัวเราะมันเกิดจากใจเราทั้งนั้น เราสงบระงับลงไปด้วยสติปัญญาของเรา มันก็สงบลงไปเหมือนกัน มันไม่ดื้อ ไม่ดึงอะไรหรอก เพราะฉะนั้น อ้า ขอให้ทุกท่านจงตั้งใจ เอากับมัน ต่อสู้กับกิเลส อย่าไปต่อสู้กับคนอื่น เขาด่าว่าก็เรื่องของเขา เขาว่ามาก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเราที่ควรไปรับเอามาคิด ของเขาต่างหากไม่ใช่ของเรา เราไม่พยายามโกรธใคร ไม่พยายามโลภของใคร ไม่พยายามอิจฉาริษยา พยาบาทใคร ไม่ให้มี เรื่องอย่างนี้ไม่ให้มีในใจเรา เราทำใจให้เรามันง่ายขึ้น ปกครองง่าย ปกครองใจตัวเองง่าย เราจะอยู่เป็นสุขไหม ถ้าเราทำอย่างนั้นเราจะอยู่เป็นสุข ไม่มีเรื่องมากระทบ ยิ้มอยู่ตลอดทั้งวัน ยิ้มอยู่ในความสุข ในความสงบสุขทั้งวัน ไม่โกรธ ไม่ด่า ไม่ว่าให้ใคร เย็นอยู่เหมือนดั่งน้ำ เออ น้ำมันตากแดดทั้งวัน มันก็ร้อน น้ำร้อน ถ้ามันอยู่ในร่มทั้งวัน มันเป็นยังไง มันเย็นทั้งวัน เออ ตากแดดทั้งวัน ถ้าเกิดเป็นน้ำร้อนขึ้นมา เอามาอาบก็แทบจะสะดุ้งพู้น(โน้น)แหละ ถ้ามันอยู่ในร่มทั้งวัน ไม่ถูกแดดเลย มันก็เย็นทั้งวันเหมือนกันนะ เออ ทุกสิ่งทุกอย่างให้ดูความปรุงแต่งของใจเรา ถ้าเรายังปรุงยังแต่งใจเรา ให้มันทะเยอทะยาน อยากอันนั้น อยากอันนี้ มันก็ไม่สงบและสิ มันก็ไม่สงบ ถ้ายังปรุงแต่งไปตามมัน มันก็ไม่สงบ ถ้าเราไม่ปรุงไม่แต่งมันล่ะ อ่ะๆ มันเกิดราคะ โทสะ โมหะ มันเกิดขึ้นเพราะการปรุงแต่ง โลภะ โทสะ โมหะ ไปปรุงมัน มันก็แต่ง อยากได้ อยากมี อยากร่ำ อยากรวยขึ้นมา เออ ไปปรุงไปแต่งมันทำไม ไม่ใช่เวลาปรุงแต่ง เวลาค้าขายก็กวาดเก็บไว้เอากำไร เออ เอากำไรกับการค้าการขายนู้น เห็นจะนอนปรุงนอนแต่งอยู่เฉยๆ มันจะได้อะไรกับเรา ไม่มี ไม่มีได้อะไรขึ้นมา ทำใจลงไปให้มันสงบ รักไม่มี ชังไม่มี ยินดีไม่มี ยินร้ายไม่มี ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ไม่มีอิจฉาริษยา พยาบาทใครไม่มี แล้วมันจะสบายไหม เออ สบายมากๆ เลย สบายบรื๋อ เขาเรียกว่าสบายมากๆ เลย สบายบรื๋อไปเลย

เพราะว่าเราระงับอารมณ์ของเราได้ด้วยภาวนา ด้วยนั่งสมาธิ ด้วยภาวนา ด้วยปฏิบัติธรรม ให้มันเป็นภาวนา เป็นบุญ เป็นกุศลแก่ใจของเราอย่างนี้ เรื่องการทะเลาะกันในโลกก็เลยสงบไป ในบ้านเดียวกันก็สงบ ไม่มีเรื่องกระทบกระทั่ง กระทบกระเทือนอารมณ์ของกันและกัน สบายไหมล่ะ สบาย มีงานการทำก็ทำไปตามหน้าที่ ถ้ามีงานจะให้พี่น้องทั้งหลายช่วยเหลือ วันพรุ่งนี้มีงานอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย มาช่วยมาเป็นธุระภาระหน่อยเด้อ เออ ทำอาหารเลี้ยงพระให้ เลี้ยงแขกให้หน่อย มีงานที่จะต้องขอร้องพี่น้อง เออ เท่านี้แหละพอแล้ว โอ้ จริงๆ แล้ว เราอยู่ร่วมบ้านกันต้องช่วยเหลือกัน ต้องดูแลช่วยเหลือ อย่าไปเห็นแก่ตัว ปัดตีน ปัดมือ ไม่เอาแล้วๆ ไม่เอา ไม่ช่วยใครแล้วอย่างงี้ ไม่ ไม่ถูกต้อง

พระพุทธเจ้าท่านทำเป็นตัวอย่าง ตั้งแต่ชาติไหนๆ ทำมาเป็นตัวอย่าง ท่านเป็นพระเวสสันดรเป็นยังไง ถ้าเป็น อ้า

นกคุ่ม... นกกระทา... พญาหงส์... ท่านทำอะไร เป็นยังไง ดูนิทานทั้งนั้นแหละ

 

โอปะนะยิโก

 

น้อมเข้ามาใส่ใจตัวเอง ใจเราเป็นยังไง ใจเราเป็นอย่างงั้นหรือเปล่า มีความยินดีในการ การให้ของ ขอให้ถึงซึ่งความสิ้นไปในอาสวกิเลส ใจเราปรารถนาให้เพื่อนบ้าน ร้านตลาดมีความเป็นอย่างนี้ กันทุกคนๆ ก็เรียกว่าปรารถนาแล้ว ปรารถนาพุทธภูมิ ก็ว่าได้ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นบริวารของพระพุทธเจ้า เป็นสาวกสาวิกาของพระศาสนา อ้า เจริญขึ้นกว่าเดิม ถ้าใจเป็นอย่างงั้น เรียกว่าเป็นใจเจริญขึ้นกว่าเดิม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่โลภโมโทสันอะไร ไม่โกรธ ไม่ขัด ไม่ว่าอะไรใคร สบายบรื๋อ ให้ทำงานก็สบายบรื๋อ ยิ่งงานส่วนรวมอย่างงี้ บอกกันไปก็มากันเป็นพรวนเลยอย่างงี้ พากันมาทั้งบ้านใกล้ บ้านไกล บ้านเหนือ บ้านใต้มาหมด มาเห็นหน้า เห็นตากันหมด นี่ การพร้อมเพรียงสามัคคีซึ่งกันและกัน อยู่ที่ความนัดหมาย ถ้าเราเอาใจใส่กัน ก็ต้องเห็นทุกหน้า เห็นทุกตา มาสลอน มารับใช้ครูบาอาจารย์ มาฟังเทศน์ มาฟังธรรม อ้า ไม่ตีตัวออกห่าง ก็ถึงความเจริญรุ่งเรืองได้ในชาติเดี๋ยวนี้ ชาติต่อๆ ไปก็เจริญรุ่งเรืองไปเรื่อยๆ

ดังที่บรรยายมาเป็น ปกิณณกนัย เพื่อต้องการให้ท่านทั้งหลาย นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนๆ เองเถิด ต่อจากนั้นก็จะได้ประสบพบเห็นแต่ความสุขความเจริญทั้งคดีโลกและทางคดีธรรมทุกประการ รับประทานวิสัชนามา ก็หมดลมแล้ว เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

 

(สาธุ)

 

 

ปาณาติปาตา เวระมะณี

เว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น

 

โอปะนะยิโก

ควรน้อมเข้ามา

 

 

มาตาเปตติกะสัมภะโว

เกิดแต่มารดาบิดา

 

โอทะนะกุมมาสุปะจะโย

เติบโตขึ้นด้วยข้าวสุกและขนมสด

 

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑

ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค

ข้อ ๓๒๙ วิชชา ๘ วิปัสสนาญาณ)

 

 

 

ปริพาชก [ปะ-ริ-พา-ชก]

นักบวชผู้ชายนอกพระพุทธศาสนา ในสมัยครั้งพุทธกาล

 

สุภัททะ ปริพาชก

เป็นพระอรหันต์ปัจฉิมสาวกของพระผู้มีพระภาค

ทันพระชนม์ชีพของพระบรมศาสดา

 

สุภัททะ วุฑฒะบรรพชิต(ผู้บวชเมื่อแก่)

กล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย

หลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไปเพียง ๗ วัน

 

ท่านพระมหากัสสปเถระ

อาศัยเหตุนี้จึงปรารภการสังคายนาพระธรรมวินัย

เป็นเหตุให้เกิดการทำสังคายนาครั้งแรก

 

(อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร)

 

๒๓