หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๗.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมชั้น ๒๒
อาคารศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ
โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
น่าโมทนาเหลือเกิน พากันมาอาราธนาศีล อาราธนาธรรม ให้ท่านเป็นผู้นำ เป็นผู้แสดง แสดงแล้วไม่รับฟังปะเนี่ย ไม่ได้ยินไม่รู้เรื่อง มันก็แสดงฟรีๆ นะสิ อืม เพราะฉะนั้น ไม่มีเรื่องอะไรที่จะคุยกันหรอก เอาเรื่องศีลเรื่องธรรม ที่เราได้อาราธนาไปแล้วนี้ อาราธนาแสดงศีล ให้ศีล อาราธนาแสดงธรรมให้เข้าใจถ้าเราไม่ตั้งใจ แล้วมันก็ไม่เข้าไปในใจ มันเข้าไปในหัวใจไม่ได้ มันจะไปไหนมัน ออกไปข้างนอก ออกไปทางอื่น ไปคิดถึงบ้านคิดถึงช่อง คิดถึงสมบัติพัสถาน คิดถึงลูกถึงหลานเขาจะทะเลาะกันหรือเปล่า อ้า คิดไปทำไม เวลานี้เราบันทึก เราจะบันทึกเอาธรรมะนำไปประพฤติปฏิบัติ ให้มันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าให้มันขาดตกบกพร่องได้ เอาจริงเอาจังกับศีลกับธรรมแหละ เราได้อาราธนา เราได้รับจากพระคุณเจ้าแล้ว พระคุณเจ้าก็ให้ให้ศีล ให้ธรรมแล้ว ถ้าเราไม่รักษา เอาไปแล้วไม่รักษามันก็ขาดศีล ขาดธรรม ขาดจากศีลจากธรรมแล้ว เรียกว่าไม่มีที่พึ่งทางใจ ไม่มีสรณะที่พึ่งทางใจ เพิ่นว่า
ติสะระเณนะ ติสะระเณ(นะ)
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
มันก็หมดเท่านั้นแหละ เพิ่นให้แล้วสรณะ ไตรสรณคมน์มีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์เท่านั้น เป็นสรณะอันประเสริฐทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพราะต่างคนต่างมีสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก ที่นับถือ ที่เคารพ ที่กราบไหว้ เราไม่มีจิต...เจตนาจะทำลาย ให้ขาด ให้ศีลขาด ให้สรณะขาด ขาดจากใจเราก็ได้ ถ้าไปเกิดป้อย(ด่า)ห่าด่าผีกันเข้า เรียกผี กินตับ กินไต ผีกินไส้ กินพุงมึงเอยเรียบ ภูตผีปีศาจน่ะมันกินตับ กินไต กินไส้ กินพุง เพราะฉะนั้น พวกเราจึงไม่มีสติ จึงไม่มีปัญญา ไม่รู้บาปไม่รู้บุญอะไร เพราะว่าผีเอาไปกินหมด พ่อแม่ด่า พ่อแม่เรียกผีมากิน กินตับ กินไต กินไส้ กินพุง เพราะฉะนั้น เรื่องเบื้องต้นนี้ขอให้ทุกคนตั้งอกตั้งใจ สมาทานตั้งมั่น อย่าให้ขาด อย่าให้ด่าง อย่าให้พร้อยได้ สรณคมน์ของเราก็ดีขึ้น เป็นเครื่องป้องกันภยันตรายได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์ชีพ อยู่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็แนะนำให้ประชาชนรักษาไตรสรณคมน์ของตัวเอง อันเป็นที่พึ่งทางจิต ทางใจ อันประเสริฐจริงๆ ถ้าเราถือจริงๆ ก็จะได้รับผลจริงๆ เออ ถ้าทำเล่นๆ น่ะ ไม่ได้รับผลนะ อ้า ถ้าเราถือจริงๆ หรอกไม่มีอะไร
ถ้าผีเข้าเจ้าสิงก็ นะโม ตัสสะ ขึ้น
ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ๓ จบ
เป่าน้ำให้กิน เอาแค่นั้นนะก็ใช้ได้
ผีทั้งหลายมันกลัว กลัวพระพุทธเจ้า กลัวพระธรรม กลัวพระสงฆ์ ถ้าเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึก ที่นับถือของข้าพเจ้าทั้งหลาย จะไม่ถือสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ขอพระสงฆ์จงจำไว้ว่า ข้าพเจ้านี้เป็นอุบาสก ข้าพเจ้านี้เป็นอุบาสิกา ผู้นับถือพระพุทธศาสนา อย่างมั่นคงตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าสิ้นชีวิต ให้ตั้งใจอย่างนั้น เวลารับศีลถ้ามารับเล่นๆ ไม่มีความตั้งใจ ยุงกัด ยุงกินฟรีๆ ไปเรื่อยๆ ตีไปเรื่อยๆ ตบยุง ตบแมลงต่างๆ ที่มาบินรบกวนเรา แน่ะ ฆ่าสัตว์แล้ว มันจะยังหรือเปล่าล่ะ ศีลที่รับไปล่ะ มันจะไม่มีติดตัวเราเลย โดดหนีแล้ว โดดหนีจากตัวเราแล้ว ศีลธรรมไม่รักษา หาว่าพระพุทธไม่จริง พระธรรมไม่จริง พระสงฆ์ไม่จริง ไม่ศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย ก็ใจของเราไม่ศักดิ์สิทธิ์เอง ใจของเราไม่มั่นคงเอง ทำให้ขาด ให้ด่าง ให้พร้อยอยู่เรื่อย นี่เรียกว่าไม่ตั้งใจจริง ให้ตั้งใจจริงๆ รับศีลก็ให้รับจริงๆ
เวระมะณี
เราเว้นจริงๆ เว้นจากการฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการกล่าวโป้ปดมดเท็จ เว้นจากดื่มกินสุราเมรัย แน่ะ มันเอาจริงเอาจังนะ
เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
จริงๆ ไม่มีอะไรแล้ว
พ๎รัห๎มา ฯ
เพิ่นก็อาราธนาแล้ว อ้า อาราธนาแล้ว ขอให้หลวงปู่นำมาแสดง ให้แจ้งให้ขาว ให้แจ้งให้ขาวจริงๆ แหละ สรณะนี้แปลว่าที่พึ่ง ที่นับถือ ที่ระลึก เราไม่ถือสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เรานับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระธรรม นับถือพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งทางใจเราจริงๆ ตายก็ขอให้ตายอยู่กับ พุทโธ ธัมโม สังโฆนี่แหละ อ้า ไม่ตาย แม้ป่วยพะงาบๆ อยู่ ถ้าใจระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้า บรรเทาแล้ว หายแล้ว กินยาก็ถูกยา ฉีดยาก็ถูกยา เอายากินก็หายเลยนั่น. เห็นไหมว่าศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นแหละ มา อ้า รับศีลแล้ว
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต
ตัสสะ
จริงๆ
อะระหะโต
พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์
สัมมา
เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
สัมพุทธัสสะ
พระองค์นั้น เราถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พระองค์นี้ ว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ที่นับถือ เราไม่ถือสิ่งอื่น เราไม่ได้เรียกร้องหาผี หาสางที่ไหนมา ผีกินหัวมึงเอย ผีกินตับ กินไตมึงเลย ต้มตับ ต้มไต ต้มไส้ ต้มพุงมากันอย่างนั้น มันจะกินได้ยังไง เป็นคนอยู่ จะมากินตับ กินไต กินไส้ กินพุงเราได้ยังไง เราก็ได้ถือสรณะ ว่าเป็นที่พึ่งแล้ว
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
หมดเท่านั้น ไม่มีอะไรประเสริฐเลิศกว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นเป็นที่พึ่งทางใจ ก่อนหลับ ก่อนนอนก็ระลึก ระลึกนึกถึง นอบน้อมต่อพระพุทธ นอบน้อมต่อพระธรรม นอบน้อมต่อพระสงฆ์น่ะ อ้า
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทั้ง ๓ ไตรแปลว่า ๓ ที่พึ่งอันประเสริฐมี ๓ เท่านั้น ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี ภูตผีปีศาจเราก็ไม่ได้พึ่ง อาฮัก หลักคุณ เราก็ไม่ได้พึ่ง ผีฟ้า ผีแถน ผีแนนตาทอก ตีนจุ้มอลินทุมเหล่านั้น เราก็ไม่ถือ ไม่เอิ้น(เรียก)หาด้วย ไม่เรียกหาด้วย อันพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ เพิ่นเอาอยู่เรื่อย ทำบุญที่ไหน ขึ้นบ้านใหม่ที่ไหน ทำบุญวันเกิดตัวที่ไหน ก็มาถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ซะก่อน เนี่ยมีที่พึ่งอันถาวร ของดีที่สุดอยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เขาไม่ได้ว่าเฉพาะเราเท่านี้ คนทั้งประเทศ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันทั้งนั้น จะทำบุญพิธี งานขึ้นบ้านใหม่ก็ตาม งานแต่งงานสมรสกันก็ตาม งานอะไรๆ ก็ต้องถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ซะก่อน นี้ให้รักษาสมกับ เราตั้งใจมา ตั้งใจมาฟัง ตั้งใจมาฟังเทศน์ ฟังธรรม เพิ่นก็เล่าให้ฟังอย่างนี้ล่ะนะ เล่าพื้นๆ ไปก่อน กล่าวทำความนอบน้อมต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
ขอความนอบน้อมของเราท่านทั้งหลาย จงมีแด่พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นอรหันต์ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองพระองค์นั้น นี่เราทำความนอบน้อมก่อน ทุกครั้งทุกคราวไป จะรับศีลก็ทำความนอบน้อม จะถวายทานก็ทำความนอบน้อม จะกล่าวอะไรๆ ก็ทำความนอบน้อม เคารพซะก่อน แม้จะบวชเป็นพระเป็นเณร ก็ต้องทำความเคารพต่อพระพุทธเจ้า ทำความเคารพต่อพระธรรม เคารพ ทำความเคารพต่อพระสงฆ์ ด้วยความสัตย์ความจริงซะก่อน ไม่ใช่ว่าเล่นๆ ว่าไปตียุงไป ว่าไปตีแมลงไป อย่างนี้ก็เทวดาหัวเราะ ไส้ขด ไส้งอ โอ้ย พวกนี้มันว่าแต่ปาก ใจมันไม่เว้น ใจมันไม่รับ แม้ว่าให้เว้น ให้ละ จดจ่อ ระลึกต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีเท่านี้สรณะ ที่พึ่งของเราเพิ่นยังว่า
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
หมดเท่านี้ สรณะทั้งหลายในโลกที่พึ่งทางใจ มีเท่านี้ ไม่มีอะไรดีเกิน ไม่นับถืออย่างอื่น มีแต่เขาจะซ้ำเติมเอา อ้า เหล้าไห ไก่โต ไปบวงสรวงเขาไว้ จะเลี้ยงเหล้าไหไก่โต เป็นตนเป็นตัวอยู่ ไปฆ่าต่อหน้าต่อตาเขา ดิ้นเข้าปั๊ดๆๆๆๆ ใจจะขาด มันก็ดิ้นดี้ อ้า หมูเห็ดเป็ดไก่ปูปลาทั้งหลาย มันก็กลัวตาย มันก็เอาตัวรอดด้วยกัน ดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ หมดแล้วเลือดในร่างกายเขาปาดไปหมดแล้ว ไม่มีเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ มันจะมีชีวิตรอดยังไงได้ เพราะฉะนั้น เรามีเลือด โลหิตของเรา อยู่ในร่างกายของเรา มันเข้มข้นหรือเปล่า เลือดจาง ก็มีวิธีเพิ่มเลือดให้อยู่ หมอทั้งหลาย ฉีดยาเพิ่มเลือดให้ ฉีดยาบำรุงเลือดให้ บำ... บำรุงเลือดแล้ว บำ... บำรุงลมด้วย ลมหายใจก็ให้สะดวก หายใจเข้าก็ พุท หายใจออกก็ โธ หายเข้าก็ พุท หายใจออกก็ โธ นี่เรียกว่าระลึกอยู่ทุกลมหายใจเข้า หายใจออก ให้มันเป็นอย่างงั้น แล้วก็จะศักดิ์สิทธิ์มาก ป้องกันภยันตรายได้หลายอย่าง อ้า ไม่มีใครจะมารบกวนและ อ้า เหยียบย่ำทำลายเราได้ เพราะเราถึงพระพุทธ ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์แล้ว อ้า เมื่อถึงพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์แล้ว ก็มีข้อวัตรปฏิบัติอีก ทำวัตรเช้า แน่ะ เพิ่นก็ให้ไหว้อีก ทำวัตรเย็น แน่ะ เพิ่นจะให้ไหว้อีก ทำอยู่อย่างงั้นจนเป็นอาจิณ จนชิน จนเคย สมาทานตั้งมั่น อย่าให้มันพลั้งเผลอ เรียกหาห่า เรียกหาผี
ผีกินมึงเอย กินตับ กินไตมึงเลย อ้า อย่าไปเรียกอย่างงั้น โกรธ ขนาดไหนก็อย่าเอามาพูด พุทโธ เอา พุทโธ นั้นออกมา บ่เป็นหยัง บ่เป็นภัยต่อใคร พุทโธ ธัมโม สังโฆเอย จั่ง(จึง)มาดื้อแท้เน้อ ลูกหลานเอยอย่าดื้อเด้อ พุทโธ ธัมโม สังโฆของแม่ของพ่อจะหลงไป ถ้าเอามาห่า เอาผีมาเป็นหัวหน้า มันพลั้งเผลอไปทางนั้น มันจะขลังไหม จะดีไหมมัน จะเป็นของดีจริงหรือ โอ้โฮ ช่วยคนมาหลายแล้ว หายใจพะงาบๆๆ อยู่ ก็นึกอะไรไม่ออกแล้วเวลานั้น เพิ่นไปบอกให้ พุทโธ เด้อ อ้า ภาวนา พุทโธ หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ ก็ได้สติตามระลึก ตามคำท่านสอนนั้น เอาจนมันหายใจเข้า เข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ อยู่อย่างงั้น แค่นี้ก็เป็นบุญ เป็นกุศลแก่เราได้ ทำให้จิตใจเราเบาจาก อ้า จากผี อ้า กินตับ กินไตอะไรมันหายไปได้ ถ้าเราระลึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ได้เผลอ เมื่อใดเผลอก็ หากว่าหลงไป อ้า หลงลืมไป พุทโธ อ่ะน่ะ พุทโธเอย อ้า ธัมโมเอย สังโฆเอย อ้า มารักษาเด้อ
พุทโธรักษา ธัมโมรักษา สังโฆรักษา
รักษาข้าพเจ้า ไม่เรียกมากินตับ กินไต กินไส้ กินพุงก็ นั่นพลอยแช่งแบ่งเวรกัน ค่อย ให้สาใจกับความโกรธของตัวเอง อย่าไปลุอำนาจกับความโกรธ ความโกรธ ความโลภ ความหลงมันพาให้เสียศีลธรรม เสียศีล เสียธรรมไปด้วย เราปฏิบัติธรรม อย่าไปไม่เอา ห้ามเอาผีมากินตับ กินไตกันแล้ว ก็ด่ากันอย่างงั้น
สรณะเศร้าหมอง สรณะเศร้าหมอง ไม่เป็นที่พึ่งทางจิตใจได้แล้ว ตกใจ พวกห่า พวกผี ถ้าไปเอิ้น(เรียก)หามันมา อ้า มันก็ นั่นน่ะถ้าเอา พุทโธ บ่เป็นภัยแก่ใครเลย เป็นของดีซะด้วย เป็นของวิเศษซะด้วย ทำให้เราตั้งใจรักษาศีลได้ ทำให้เราตั้งใจภาวนาได้ อยู่กับ พุทโธ หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ อยู่แค่นั้นแหละ วันหนึ่งๆ หายใจเข้ากี่รอบ หายใจออกกี่รอบ อยู่กับ พุทโธ
หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ
หายใจเข้าเป็น พุท หายใจออกเป็น โธ
อยู่แค่นี้ก็เป็นอนุสติอันประเสริฐ เป็นของเลิศ อ้า ในโลก ไม่ได้ธรรมดานะ ของประเสริฐของเลิศในโลก อยู่ประเทศไหนๆ ก็นำไปใช้กันได้ อ้า เราอยู่ต่างประเทศ อ้า มาจากมาเลเซียก็มีน่ะ เห็นหน้ามา อ้า เป็นพิธีกรอยู่ในมาเลเซีย จะไหว้พระ จะรับศีลอะไรก็เรียกหา พุทโธ ธัมโม สังโฆและขึ้นก่อน มาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ที่ไหน ก็หาอันนี้แหละ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แหละเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก กำจัดภัยได้จริง พุทโธ ธัมโม สังโฆนี่กำจัดภัยได้จริง ไม่ได้ว่าเล่นๆ นะถ้า พุทโธ แรงๆ ผีก็ สะเดิดเตลิดไปทางข้าง ทางหลัง ทางหน้า ตำ(ชน)ไม้ ตำ(ชน)ไล่ไป อ้า นี่ป้องกัน สรณะเป็นเครื่องพึ่งพาอาศัย
เอา พุทโธ เป็นที่พึ่ง
เอา ธัมโม เป็นที่พึ่ง
เอา สังโฆ เป็นที่พึ่ง
พึ่งด้วย รักษาด้วย รักษาความปลอดภัยด้วย ไม่เป็นอันตรายใดๆ ทั้งนั้น ขอให้จำไว้ ระลึกไว้เสมอ อย่าเอามาใช้ ของที่ไม่ดี อย่าเอามาใช้ อืม อืม
(ฉันน้ำชา)
เอาของดีๆ มาใช้ เอา พุทโธ เอา ธัมโม เอา สังโฆมาใช้ มาบริกรรม เป็นเครื่องรักษาความปลอดภัยให้แก่เราอีกด้วย ดีน่ะ เทศน์วันนี้ไม่ได้ เทศน์ต่ำเทศน์สูง หรือเทศน์อยู่บนธรรมมาศธรรมดานี่ล่ะ หึ เออ เทศน์ ทำตามนี่แหละให้รู้จัก ถ้าหากมีความวิริยะ อุตสาหะ พากเพียร ภาวนา ก็กำหนดจิต กำหนดใจ เข้าไปตรวจดูความเผลอ ความหลงของเรา มันจะออกไปทางไหน เรากำหนด พุทโธ ดื้อๆ อยู่แท้ๆ มันจะออกไปทางไหน อืม เรากำกับอยู่อย่างงั้น มันจะออกมาทางไม่ถูกทาง ในทางที่ไม่ถูกต้อง พลั้งเผลอไป ห่ากินหัวมึงเอย ผีกินหัวมึงเอย อย่าไปว่านะมันไม่เห็น กินที่ไหนหรอก ห่ากินหัว ผีกินหัวบ่เคยเห็น ผีกินหัวสักที ตายแล้วก็นอนโค่โล่อยู่ซื่อๆ มีแต่ไฟน่ะที่เผามัน เข้าเตาอบ
มีแต่ไฟนั่นแหละจะเผา จะกิน
กินหัว กินตับ กินไต กินไส้ กินพุง
เข้าเตาอบแล้วก็เรียบร้อย เสร็จไปหมดทุกอย่าง แม้แต่กระดูกก็ไม่เห็น เวลามันหมดไป อ้า ไฟเตาอบหรือว่าเมรุเผาศพเหล่านั้นล่ะเขากิน เขากินอย่างนี้ ผีเขาไม่กินหรอก เอาไว้จะมันก็เน่าเฉยๆ เบ่งตัวขึ้น เบ่งขึ้น เบ่งขึ้น ถ้าเก็บไว้หลายวันน่ะ มันก็แตก แตกปุ๊ออกมา สมองก็แตก ผิวหนังอะไรก็แตก มันๆ มันเบ่งเต็มที่แล้วมันก็แตก ไหลเยิ้มออกมา เป็นของที่สกปรกที่สุดร่างกาย อันนี้เพิ่นบอกกรรมฐานให้ เออ ให้พิจารณา
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เด้อ เอาละบวชใหม่ๆ เพิ่นก็ให้เลย ก็ให้
กรรมฐาน ๕
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
กลัวมันจะหลง ให้กลับไปอีกซะก่อน
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา
เพิ่นให้บอกบ่อยๆ ให้ว่าบ่อยๆ พิจารณาบ่อยๆ
ให้เห็นมันน่าเกลียด น่าขยะแขยง อ้า ไม่กล้าเข้าใกล้กันเลย อ้า เวลา ขอโทษเถอะนะ ตดออกมา ผายลมออก อันนั้นก็กุมจมูกแล้ว ผู้นั่งใกล้ๆ ก็กุมจมูกแล้ว มันๆ เหม็นอะไรมาจากไหน หึหึ เออ ตามหา ยิ่งกินทุเรียนเข้าไปเยอะๆ ตึม อันตรายมากเลย แค่อึ๊กไปล่ะ ออกมาเวลาใหม่ๆ กินทุเรียนแล้วเวลามันจะเผยลม ปล่อยลมออกมา หงายเก๋งไปเลยแหละ นั่นเห็นไหม อ้า เพิ่นยังบอกให้พิจารณากรรมฐานทั้ง ๕ อ้า ๕ อย่างนี่ เพิ่นบ่ขาด บวชพระก็เหมือนกัน บวชเณรก็เหมือนกัน เพิ่นก็ต้องให้กรรมฐาน ๕ ซะก่อน เป็นเครื่องพิจารณา เออ ถ้าหากหมดลมหายใจแล้ว ท่านก็ไม่บอกหรอก เบิ่ง(ดู)เอา เบิ่ง(ดู)เอา ปลงเอา อะไรจะเกิดขึ้นหมดลมหายใจแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น ของอยู่ในร่างกายของเรา มันก็แสดงปฏิกิริยา ออกมาเองของมัน มันเบ่งขึ้นๆๆ เก็บไว้หลายวันเท่าไหร่ ก็เบ่งขึ้นๆ ใส่หีบก็ กับโลง หีบแตก .มันเบ่งขึ้นเต็มที่แล้วหีบแตก แตกแล้วก็ไหลเละออกมา เออ น้ำทั้งหลาย น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำอะไรมันเป็นไหลเละออกมา คนไปชุมนุมอยู่ดีๆ กินข้าวอยู่จะเป็นยังไง เวลากำลังเลี้ยงข้าวปลาอาหารกันอยู่ จะเป็นยังไง แตกวงเลย อ๋อ มันเน่า มันเหม็น มันน่าเกลียด อ้า ใครจะไปนั่งงมกินข้าวอยู่กับซากศพอย่างงั้นได้ มันเน่า มันเปื่อย มันแตกไหลเละออกมา หนังนี่มันก็ไม่นาน มันก็แตกเยิ้มออกมา ไหลเละออกมา แต่ออกมาแล้ว มันไม่แตกออกมาตั้งแต่น้ำ แต่หนองเฉยๆ กลิ่นมันก็ออกมาด้วย กลิ่นที่มันเบ่งเต็มที่แล้วมันมีกลิ่นนะ มีกลิ่นเต็มที่น่ะ เราก็ พิจารณากรรมฐาน ให้พิจารณาอย่างนี้ อืม เพิ่นบอกให้พิจารณาบ่อยๆ มื้อเช้าก็พิจารณา มื้อแลง(เย็น)ก็พิจารณา เวลาไหนทำวัตรไหว้พระแล้วก็ต้อง อ้า พิจารณากรรมฐาน พิจารณากรรมฐานในร่างกายของเรา ถ้าเราไม่อาบน้ำชำระ เหงื่อไคล ไว้เสมอเสมอ มันจะนั่งใกล้คนอื่นได้หรือเปล่า ตด ขอโทษเถอะ ตดออกมาเท่านั้น ก็หงายเก๋งแล้ว เออ
หรือว่า เอิ๊ก เออออ ลมออกทางปาก กินทุเรียนเข้าไปเต็มท้องแล้ว มันจะเป็นยังไง เออ คนนั่งใกล้นี่กุมจมูกทันที นั่นเห็นไหม ถ้าไม่บอกอย่างนี้ก็ไม่ได้ดู มีแต่อร่อยอย่างเดียว กินเข้าไปหลาย อร่อยอย่างเดียว กินได้หลายเม็ดเสียด้วย หลายลอน หลายเม็ด บางทีก็ลูกหนึ่งก็ยังหมด กินมากๆ เข้าไป มันแตกออกมา มันปล่อยลมออกมาเท่านั้น ก็หงายท้องไปเลย
อันนี้ ไม่ได้เทศน์ต่ำนะเทศน์สุดยอดเลย เทศน์แบบสุดยอด กรรมฐานสุดยอด อ่ะฮึ นั่งอยู่ด้วยกัน ถ้าไปกินอะไรเข้าไปเยอะๆ ทุเรียนมันเยอะๆ สะตอเยอะๆ ผัดสะตอหรืออะไร กินเยอะๆ อ้า ทุเรียน เออ ใส่น้ำกะทิหลายๆ กินหมดตั้งหลายลอนหลายไต เวลามันออกมาเป็นยังไง พิจารณาให้ดีๆ โอ้โฮ อันตราย กินข้าวอยู่ด้วยกันแตกโต๊ะเลย แตกโต๊ะหนีเลย มันเหม็น เหม็นมากๆ อย่างงั้น อย่างนี้เพิ่นบอกว่าเทศน์กรรมฐาน กรรมฐาน พิจารณาร่างกายของเราให้เป็นกรรมฐาน อ้า ในร่างกายของเรา มันเหม็น มันเน่าขนาดไหน กินข้าวกินปลาแล้วใหม่ๆ ไม่ได้แปรงฟัน สีฟันอะไรเลย เวลาไปพูดกับคนอื่นมันเป็นยังไง พูดใกล้ๆ เขาก็กุมจมูกนะ กุมจมูกไว้อย่างงี้เรา พูดใกล้เขา เขากลัวมันจะไปเข้าจมูกเขา เขาจึงกุมจมูกไว้ นี่เทศน์กรรมฐาน เพิ่นบอกให้พิจารณาบ่อยๆ แม้แต่บวชเข้ามาในศาสนา บวชเป็นพระก็เหมือนกัน บวชเป็นสามเณรก็เหมือนกัน ต่อไปนี้จะบอก
ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน
ให้เด้อ จงจำเอาไว้
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
เอาแค่นี้ซะก่อนกลับคืนไปก่อน
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา
เนี่ย อยู่ในผมของเรานี้สระล้าง เสียเงินไปสระล้างผม อ้า ไม่ใช่ธรรมดานะ อ้า มีเครื่องฟอก เครื่องเป่า เครื่องอะไรหลายอย่าง เสียเงินตั้งหลายอย่างเหมือนกันแหละ เพราะว่าร่างกายมันสกปรก ร่างกายมันมีแต่ของปฏิกูล น่าเกลียดอยู่ในร่างกายเรา แม้เรากินเข้าไปในกระเพาะแล้ว มันก็ไม่ปกปิดล่ะ มันปวดลมเวลาไหนมันก็ ปื้ด ออกมาเวลานั้น อ่ะ เรอ เอื้อม(เรอ) เอิ๊ก อย่างเนี่ย ถ้าออกมาแล้ว ออกมาสูดเข้าดัง(จมูก)คนอื่นแล้ว นี่พิจารณากรรมฐานให้พิจารณาบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเล่นๆ มาในผูกในมัด ในกรรมฐาน มันออกมาให้กันดูอยู่เสมอ แต่พวกเราก็บำบัดมันด้วยสบู่บ้าง ด้วยผงซักฟอกบ้าง ด้วยเครื่องดับจักแร้(รักแร้)บ้างหรือที่ไหนมันเหม็นขี้เต่า เอาเครื่องมาฉีดเข้าไป ฉีดเข้าไปให้มันมีกลิ่นดีๆ หน่อย อ้า อันนี้เป็นกรรมฐาน พระในแผ่นดินนี้ ทั้งหมดแผ่นดินในเมืองไทย ถ้าท่านไม่บอกกรรมฐานแล้ว จะเอาอะไรมาสอนกันเวลาบวชเข้ามาแล้ว เพิ่นก็เอากรรมฐานน่ะมาสอนซะก่อน กรรมฐานทั้ง ๕ อย่าง
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา
หลบไปหลบมา หลบไปหลบมา เพิ่นอยากให้มันเห็น ของเน่า ของเหม็น ของสกปรกประจำตัวของเรา เฒ่าแก่แล้ว อายุแก่แล้ว เลือดลมมันเดินดี ผายลมออกมา อ้า เรอ เอื้อม(เรอ) เอื้อม(เรอ) เออออ ออกมายังงั้น อ้า อันนั้นเป็นกรรมฐานอย่างดี อย่าเข้าใจว่าเทศน์ต่ำๆ นะ
เทศน์อย่างนี้มันได้มรรคผลนิพพานอยู่นะ
อ่า ถ้าพิจารณากรรมฐานบ่อยๆ พิจารณาผม พิจารณาขน พิจารณาเล็บ พิจารณาฟัน พิจารณาหนัง
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
พิจารณาบ่อยๆ ก็จะเกิดสลดสังเวชตัวเอง โอ้
จิตเอ๋ยจิตเขลา นอนในกายเน่า เฝ้าสมบัติดิน
เฝ้าสมบัติดิน กินอสุจิ ตรึก(ตริ)ไม่เห็นเลย
จิตเอ๋ยจิตเขลา นอนในกายเน่า เฝ้าสมบัติดิน
เวลากินก็กินอสุจิอสุภัง กินเข้าไป กินเลือด กินเนื้อเข้าไป เข้าไปในท้อง ในไส้ เวลาตดออกมาแค่นั้นก็รู้เรื่อง หึ ข้างนอก รู้เรื่องราวมันหรอก ผายลมออกมา หงายเก๋งไปเลยอย่างงั้น เพราะฉะนั้นพิจารณานะ อ้า อุปัชฌาอาจารย์เพิ่นให้ ให้กรรมฐาน ๕ ซะก่อน อ้า ให้เครื่องพิจารณาซะก่อน แล้วจึงมารับศีล จึงมา นั่น บอกกรรมฐานทั้ง ๕ ให้ จนเข้าอกเข้าใจซะก่อน มันจะเบื่อหรือไม่เบื่อ อ้า บอกเฉยๆ ถ้าเราไม่พิจารณาเราก็ไม่เบื่อ เราก็ยังหอมอยู่นั่นแหละ เออ หอมแก้มกัน หอมปากกัน หอมคอกัน ดูดกันอยู่อย่างงั้นแหละ หอมแก้ม หอมทุกอย่าง ที่ ที่จริงแล้วมันหอมแป้ง หอมฝุ่นดับกลิ่นทั้งหลาย ทาแป้งแต่งตัวดีแล้ว หอมแก้มกัน ที่จริงก็หอมขี้หู ขี้ตา มันไหลออกมาทางนี้นะ น้ำหู น้ำตา มันไหลออกมา เป็นขี้ตาขี้เตอ หอมแก้มกัน โอ้ย อ้า ถ้าพิจารณาแล้ว อ้า จะได้เห็นอสุภะ อสุภะนั่นแปลว่าของไม่งาม อสุภังมันเปื่อย มันเน่า มันอืด ขึ้นมา มันพอง น้ำยางเหลืองแตกออกมา จะเป็นยังไงจะไปนั่งใกล้ไหม จะนั่งกินข้าวอยู่ใกล้ๆ กินได้ไหม กินไม่ได้ เพราะฉะนั้นประเพณีเพิ่นจึงทำหีบ ทำศพ ประดับประดา ด้วยเครื่องประดับต่างๆ ให้สวย ให้งามที่สุด แท้ที่จริงน่ะมองลึกเข้าไป ในหีบศพน่ะ กำลังอืด กี่เดือน กี่ปีแล้ว ตายมาได้กี่ปีแล้ว กำลังอืด กำลังเน่า กำลังจะแตก พิจารณาไปอย่างนี้ เรียกว่าพิจารณากรรมฐาน เพื่อปลง ปลง
อะนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน
อุปปัชชิต๎วา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข
ถ้าเราพิจารณาบ่อยๆ ระงับมันบ่อยๆ แล้ว
เตสัง วูปะสะโม สุโข
มีความสุขเกิดขึ้น เหม็นอะไรแล้วเราหลับตาเอา มันเหม็นก็เหม็นจริงหรอก แต่ว่ามันมีเครื่องบำบัด ความเหม็น ความเน่า ของมัน ฟันของเราน่ะ กินข้าวทุกวันๆ อ้า ถ้าไม่ทำความสะอาด ไม่แปรงฟัน ไม่จิ้มฟัน ปล่อยให้มันเน่าคาอยู่นั่น มันเป็นยังไง โอ้โฮ ขี้ฟันเยิ้มเลย กลิ่นอะไรออกมา หัวใส่กัน หัวเราะใส่กัน เอาฟันนั่นแหละ มาอวดกัน ยิ้ม ฟันงาม ฟันสวย เออ จริงจัง มันจะสวยขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่ทำความสะอาด เว้นซักวันหนึ่งหรือ ๒ วัน ๓ วัน ก็ไม่ได้แปรงฟันเลย เป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายลองคิดเอาเอง มันจะเป็นยังไง แอ้ ผู้เฒ่า ผู้... ผู้เฒ่าผู้แก่ แก่เฒ่าแล้วมัน มันโยก มันคลอน ฟันโยก ฟันคลอนน่ะมีน้ำหนองออกมาตามนั่นแหละ แล้วเหม็นนะ เหม็นหรือเปล่า เหม็น พิจารณาให้ดีๆ เหม็น ถ้าไม่แปรงฟันแต่ละวันเนี่ย ไม่ นอนไม่หลับ ไปนอนก็ไม่สบาย เพราะเราไม่ได้แปรงฟัน จะกินจังหัน ฉันหมาก ฉันเพล ฉันจังหัน ถ้าไม่ได้แปรงฟันแล้วจะเป็นยังไง อ้า กินแล้ว แล้วก็แปรงซะก่อน ทำความสะอาดซะก่อน ถ้าปล่อยไว้มันก็จะเหม็นอีกแหละ อือ พูดใกล้หูก็ไม่ได้ เพราะว่ามันเน่า มันเหม็น เพราะร่างกายมันเป็นของเน่า
รูปัง อะนิจจัง
เวทนา อะนิจจา
สัญญา อะนิจจา
สังขารา อะนิจจา
วิญญาณัง อะนิจจัง
รูปัง อะนัตตา
เวทนา อะนัตตา
สัญญา อะนัตตา
สังขารา อะนัตตา
(วิญญาณัง อะนัตตา)
เนี่ย เพิ่นบอกไว้หมดแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่เราหรอก มันไม่ใช่เรา แล้วไม่เป็นของของเราซะด้วย เอาไว้ก็ไม่อยู่ ฟันอยู่ในปาก มันหล่นไปหลายชุดแล้ว หมอใส่ให้ใหม่ อ้า กินข้าวยาก เอาฟันปลอมมาใส่ให้ใหม่ กินข้าวก็ยาก กินแล้วก็ต้องชำระ อ้า ด้วยแปรงด้วยอะไร ให้มันสะอาดซะก่อน จึงค่อยเอาอย่างอื่นได้ เป็นอย่างงี้
นี่เทศน์ต่ำๆ ซะก่อน เล่าว่าของสูงๆ เพิ่นเทศน์ไปหมดแล้ว ยอดๆ เพิ่นเทศน์ไปหมดแล้ว เทศน์ต่ำๆ พื้นมันนี่แหละต่ำๆ อันเป็นไปตั้งแต่ อ้า ปลูกข้าว ปลูกฟัก แฟง แตง น้ำเต้า ผักนางอางหญ่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เคี้ยวกิน เคี้ยวกินลงไป กินลงไปจนเต็มท้องแล้วอยู่ได้ อ้า ถ้ากินชะอม ชะเอม ลงไป หึหึ กลิ่นมันเป็นยังไง มีเปลี่ยน เปลี่ยน กลิ่นมันเปลี่ยนไปเลย กินชะอม กลิ่นสะ(ตอ) สะตอ เม็ดสะตอ ชะอม แล้วทุเรียนสุกดีๆ อ๋อ หึหึ กินเข้าไปลองดู พิจารณาไม่ทำความสะอาด มันเป็นยังไง สวยขนาดไหน งามขนาดไหน ถ้าขาดความดูแลรักษา ไม่แปรงฟัน ไม่ทาแป้ง ไม่แต่งตัวอะไร เข้าใกล้คนก็ขยะแขยงใจตัวเอง ว่าเขาจะเหม็นเรา อ้า ต้องอาบน้ำทุกวัน ขัดเกลา ขัดสีฉวีวรรณ ให้สะอาดหมดจดซะก่อน ก่อนมาขึ้น ธรรมมาสน์นี้ก็อาบน้ำแล้ว เรียบร้อยแล้วถึงมาได้ ถ้าไม่ได้อาบน้ำหรือจะเป็นยังไง ดีหรือไม่ดี นี่ พูดให้พิจารณาตาม ไม่ได้พูด พูดดูถูกเหยียดหยามหรอก พูดไป พูดไปให้พิจารณาตาม เรียกว่า
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา
ของอยู่ในตัวของเรานี่แหละ แต่มันก็ทำให้ตัวของเราเหม็น ต่างทำให้ตัวของเราเน่า อ้า ถ้าขาดลมหายใจไปหล่อเลี้ยง แล้วก็หมดลม หมดลมก็ขึ้นอืดสิล่ะปะเนี่ย อ้วนขึ้นมา พีขึ้นมา เอาไม่อยู่ ทำหีบใส่สวยๆ ก็ไม่อยู่ แตก อืม หีบที่ทำสวยๆ งามๆ หีบแตก มันเบ่งเต็มที่แล้วมัน หีบแตก มันแตกแล้วมันเป็น มันเป็นไปยังไง น้ำยางเหลืองไหลออกมา เต็มบ้านเต็มช่อง เต็มที่อยู่
ที่อาศัย มันมีกลิ่นเหม็นซะด้วย อ้า ถ้ามันแตกแล้วก็มีกลิ่นเหม็นซะด้วย อย่างนี้ เรียกว่าพิจารณากรรมฐาน ทุกวันๆ เป็นพระ เป็นเจ้า ไม่ได้พิจารณา อ้า มันสวย มันงาม อยู่พิจารณา เออ ของสวยๆ งามๆ มันก็งามหน้า งามตา งามกริยา งามมารยาท ก็ยังดีอยู่ แต่ว่าของภายในมันเป็นยังไง มันแตกออกมาลองดู หึหึ เออ กินอะไรเข้าไปบ้าง แอ้ มีแต่ของอร่อยๆ ทุเรียนก็อร่อย ผักชะอมก็อร่อย อะไรก็อร่อย กินเข้าไปได้หมดทุกอย่าง แอ้ กินเข้าไปๆ มันก็เต็มกระบุง มันก็ปรุงออกมาสิปะเนี่ยน่ะ เพิ่นว่า กินเข้าไปๆ บ่คลำเบิ่ง(ดู)ท้อง กินมำๆ บ่คลำเบิ่ง(ดู)ท้องตัวเอง กินของที่มีพิษเข้าไปในร่างกายเรา ขอโทษเถอะ ว้า เวลาตดออกมามันเป็นยังไงน่ะ แหม. พิจารณาอย่างนี้เห็นของจริงเลย หึหึ เวลาตดออกมา เวลาเรอ เอื้อม(เรอ) เอิ๊ก ออกมาอย่างงี้ นั่นแหนะจะมีกลิ่นติดตามออกมา ดังนี้ เพราะฉะนั้น ให้พิจารณาทุกวันๆ ให้พิจารณาเรื่องร่างกายของเรา ให้พิจารณา
เกสา ผม โลมา ขน นะขา เล็บ ทันตา ฟัน ตะโจ หนังมังสัง เนื้อ นะหารู เอ็น อัฏฐี หรือกระดูกทั้งหลายอีก อัฏฐิมิญชัง เยื่อในกระดูกอีก
ของเหม็นอยู่ในนั่นล่ะ เยื่อในกระดูก อ้าว สมอง เยื่อในสมอง ก็ มันเป็นของเน่าเปื่อยได้เหมือนกัน หนัง ผมสวยๆ งามๆ เหล่านี้ เอาไว้กี่ปี มันก็หล่นไปหมด หล่นออกจากหนัง หล่นออกจากหนังก็เหลือแต่กระโหลกศีรษะปะเนี่ย ผมทั้งหลายมันออกไปหมดแล้ว เหลือแต่กระโหลกศีรษะนั่นแหละ นั่นล่ะไปดูตอนนั้น มันกำลังเน่า กำลังเหม็น อ้า ให้พิจารณาปลง
อะนิจจัง ทุกขัง อะนัตตา
มันเป็นทุกข์ เป็นของทุกขัง มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตนของเราเลย ดังนี้เป็นตัวอย่าง อ้า อันนี้เทศน์พื้นๆ เทศน์กรรมฐาน ให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง พระๆ เณรๆ เนี่ยต้องพิจารณาทุกวัน เป็นพระ เป็นเณร ต้องพิจารณาทุกวันๆ ถ้าไม่อย่างงั้น เห็นขาวๆ เห็นสาวๆ เห็นสวยๆ มันอยากสึก อยากสึก โอ้ย งามแท้ๆ สวยแท้ๆ ลองให้มันตดออกมาลองดู มันจะงาม หึหึ ขนาดไหน เออ สวยๆ งามๆ แต่งตัวสวยๆ งามๆ ตดออกมาเมื่อครู่กินทุเรียนเยอะๆ ก็ กินสะตอ กินทุเรียน กินผักชะอม กินอะไรเข้าไป มีแต่ของเหม็นๆ เน่าๆ เอาใส่กันผสมเข้า มันมีพลังสูง เออ ความเหม็นมันสูง ความเน่า ความเปื่อยมันสูง สูงมากจนเอาอะไรมากลบมันไม่อยู่ เอาน้ำหอม น้ำอบมากลบมันยังไงมันก็ไม่อยู่ เอาแป้งแต่งตัวข้างในหอมขนาดไหน ก็ช่างมันเถอะ อ้า มันไม่อยู่ อบมันไว้ๆ มันก็ไม่อยู่ อ้า เวลามันแตกออกมา กำลังกินข้าวนั่งล้อมหีบศพอยู่ ถ้าศพมันอืดเต็มที่ มันแตกเยิ้มออกมาเวลานั้น กินข้าวได้หรือเปล่า ทำไมกินไม่ได้ เพราะขี้เกียจ ขี้เกียจรังเกียจ เป็นอย่างงี้รังเกียจ ไม่ไหว นั่งกินข้าวก็อยู่ไม่ได้ นั่งอยู่ดีๆ ก็มีกลิ่นอย่างงี้ขึ้นมา มันจะเป็นยังไง ทำให้แตกสภา แตกสภา สภาน้อยๆ สภาอยู่ในบ้านน้อยๆ แค่นั้น ก็แตกสภาได้ ถ้าไปในสภาใหญ่ๆ สูงๆ สภาของจังหวัดอันมี อ้า มันก็ออกให้เราดูอยู่ทุกวันๆ อย่างโรงพยาบาลอย่างนี้ ไม่นานก็หามกันออกจากห้อง ห้องที่เจ็บป่วย ทำความสะอาดใหม่ซะก่อน ถึงเอาคนไข้อื่นเข้ามาอยู่ อ่ะ ถ้าอยู่แล้วถ้ามาแตก มาตายที่นั่นล่ะ เขาไม่เอาไว้อีกแหละ เขาก็รีบส่ง ถ้าเป็นพระ เป็นเณร ก็เอารีบเอารถนำศพถึงบ้าน ถึงวัด อ้า เอาไว้ไม่ได้ มันจะเหม็นจะเน่าต่อไป ให้ไปทำพิธีที่บ้านตัวเองนู้น มีการก่อเตาขึ้นมา มีเมรุ มีอะไรก็ใส่ไฟเข้าไป ไฟยัดเข้าไป เอาน้ำอบ น้ำหอมสาดเท่าไหร่มันก็ไม่อยู่ มันก็เหม็นอยู่อย่างงั้นล่ะ เพราะฉะนั้นให้พิจารณาทุกวันๆ ว่าร่างกายของเรานี้เป็นของเปื่อย เป็นของเน่า เป็นของเหม็นมีกลิ่นเหม็น สะอิดสะเอียน โอ้ย น่าขยะ น่าแขยง กลืนข้าวก็ไม่ลง ถ้ามันมีเน่าอยู่ในบ้านของเรา ไม่ได้เอาไปป่า ไม่ได้ไปเอาเข้าเมรุที่ไหน เก็บไว้ที่บ้าน แต่ปานนั้นเพิ่นก็เอากันไว้อยู่ หลายองค์อยู่ อ่ะ เอาไว้ซะก่อน ไว้ในหีบนั่นแหละ แช่เย็นไว้ก่อน เอาแช่เย็นไว้ซะก่อน ถ้าไม่แช่เย็นแล้วมันจะขึ้นอืด มันจะเน่า มันจะแตกออกมาแน่ะ อย่างนี้ นี่เทศน์เบื้องต้นของกรรมฐาน อ้า บวชเข้ามาก็ให้พิจารณากรรมฐาน พิจารณากรรมฐานของเปื่อย ของเน่า ของมีกลิ่น สี สันฐาน ของมันเป็นยังไง พิจารณาบ่อยๆ ก็จะ อ้า คุ้นเคย อันนี้ของฝาก
วันนี้ของฝากต่ำๆ หรอก ไม่ได้ของฝากสูง แต่ว่าเพิ่นได้สำเร็จพระอรหันต์ด้วยการพิจารณา อสุภะ อสุภัง อ้า พิจารณาหีบศพคนตาย เพิ่นตายอย่างงี้ เปื่อยๆ เน่าๆ เหล่านี้ ให้พิจารณาทุกวันๆ อ้า มันเป็นกรรมฐานสูงสุด ของชีวิตมนุษย์และสัตว์อื่น อันนี้เป็นกรรมฐานดีแท้ๆ อืม ของตายข้ามคืนข้ามวันแล้ว ก็ไม่นาน ก็มาทำอาหารกินได้ เป็นไก่ เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นหมู เป็นหมา เป็นปู เป็นปลาก็ตาม ถ้าเอาข้ามคืนไป ๒ วัน ๓ วัน แล้วจะกินได้ไหม แต่ว่ามนุษย์มีปัญญา มีของแช่เย็น อ้า ได้อาหารสดๆ มาเอาไว้แช่เย็นไว้ก่อน พรุ่งนี้จึงค่อยจัดการมัน แช่เย็นแล้วมันแข็งตัว เฮอะ แข็งตัวมันก็ไม่เปื่อย ไม่เน่าแล้ว อยู่ได้หลายวันๆ
อันนี้ เอ้ อยากจะอัดเป็นเทปเป็นอะไร เอาไว้ให้ญาติให้โยมได้ฟังกัน แต่เขาไม่สนหรอก เขาไม่สน เขาสน เขารักสวย รักงามเขาอยู่ เสียค่าแต่งตัว เสียค่าล้างสระผม เสียค่าแป้ง อ้า สำหรับชโลมผิว ไปตั้งหลายขวด หลายโหลมาแล้ว แต่มันก็ไม่หายเหม็นสักที มันก็ยังเหม็นออกมาอยู่อย่างงั้นแหละ อ้า
ที่แสดงมาเป็น ปกิณณกนัย ต้องการให้ทุกคน พุทธบริษัท พระก็ดี เณรก็ดี โยมก็ดี นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาขบคิดด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนๆ เองเถิด มันไม่หนีไปไหน อัปปมาทธรรม ไม่มีความประมาท พิจารณาทุกวี่ทุกวัน ต่อแต่นั้นก็จะได้ประสบพบเห็น ความเบื่อ ความหน่าย อ้า ความเสียดายร่างกาย มันก็จะไม่มี เอ้า มันเป็นอย่างงี้ล่ะนะร่างกาย ให้นำไปพินิจพิจารณาปฏิกูลสัญญาให้มากๆ ต่อแต่นั้นก็จะได้ประสบพบเห็นแต่ความสุขความเจริญทั้งทางคดีโลกและทางคดีธรรมทุกประการ รับประทานวิสัชนามา ก็สมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
(สาธุ)
อาราธนาศีล
มะยัง ภันเต ติสะระเณนะ สะหะ
ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ขอศีล ๕ พร้อมทั้งไตรสรณคมณ์ เพื่อจะรักษา
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
บัดนี้ได้เข้าถึงซึ่งพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว
อาราธนาธรรม
พ๎รัห๎มา จะ โลกาธิปะตี, สะหัมปะติ,
กัตอัญชะลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ,
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา,
เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง.
ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นอธิบดีแห่งโลก
ได้ประคองอัญชลี ทูลวิงวอนพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐว่า
สัตว์ผู้มีธุลีในดวงตาน้อยมีอยู่ในโลก
ขอพระคุณเจ้าโปรดแสดงธรรมอนุเคราะห์ด้วยเถิด
สิกขาบท ๕
ปาณาติปาตา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น
อะทินนาทานา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น
มุสาวาทา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากของเมา คือ สุราอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
นมัสการ
นะโม
ขอนอบน้อม
ผู้กล่าวบท นะโม ครั้งแรกในโลก คือ
สาตาคิรยักษ์
ตัสสะ ภะคะวะโต
แด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ผู้กล่าวบท ตัสสะ ครั้งแรกในโลก คือ
อสุรินทราหู
ผู้กล่าวบท ภะคะวะโต ครั้งแรกในโลก คือ
ท้าวจาตุมหาราช ทรงเปล่งเสียงพร้อมกันทั้ง ๔ พระองค์
อะระหะโต
ผู้ไกลจากกิเลส
ผู้กล่าวบท อะระหะโต ครั้งแรกในโลก คือ
ท้าวสักกเทวราช คนไทยรู้จักกันในนามว่า พระอินทร์
สัมมาสัมพุทธัสสะ
ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
ผู้กล่าวบท สัมมาสัมพุทธัสสะ ครั้งแรกในโลก คือ
ท้าวสหัมบดีพรหม คนไทยรู้จักกันในนามว่า พระพรหม
ประมวลพระพุทธคุณเป็น ๓ ส่วน
ภะคะวะโต
ผู้ทรงจำแนกธรรม คือ พระมหากรุณาคุณ
อะระหะโต
ผู้ไกลจากกิเลส คือ พระวิสุทธิคุณ
สัมมาสัมพุทธัสสะ
ผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง คือ พระปัญญาคุณ
ขันธ์ ๕ (กองแห่งรูปธรรมและนามธรรม ๕ หมวด)
รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ทุกขัง ความเป็นทุกข์
อะนิจจัง ความเป็นของไม่เที่ยง
อะนัตตา ความเป็นของไมใช่ตน
ตะจะปัญจะกะกัมมัฏฐาน(กรรมฐานมีหนังเป็นที่ ๕)
เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ
(ผม) (ขน) (เล็บ) (ฟัน) (หนัง)
ความเชื่อเรื่องภูตผีวิญญาณในสังคมอีสาน
ห่า เทวดาอารักษ์ อาฮัก หลักคุณ ปู่ตาย่าบ้าน
ผีฟ้า ผีแถน ผีแนนตาทอก ตีนจุ้มอลินทุม
คำกลอนธรรมะโบราณ
๐ จิตเอ๋ยจิตเขลา นอนในกายเน่า เฝ้าสมบัติดิน
กินอสุจิ ตริไม่เห็นเลย หลงเชยชมงาม
เดินตามทางรก มุ่นหมกไอ้เพศบ้า !!!
๐ อวดกล้าสู้ตาย ไม่หน่ายหนีโลก นั่งโงกงมแก่
หลงแลว่าคน รูปตนคือผี เห็นดีสิ่งใด?
ภายในเหม็นนัก หลงรักจูบกอด ไอ้ตาบอดใจบ้า !!!
๐ เป็นข้าความรัก เหนื่อยนักไม่รู้ หลงอยู่ช้านาน
สมภารไม่บอก เชื่อหลอกหมู่มาร สังขารเขาลวง
หาห่วงผูกคอ ใครหนอทำได้? ไอ้ตัวใบ้ใจบ้า!!!
๐ เที่ยวหาแต่ยาก อย่าหลงทางเดิน อย่าเมินเหยียบขวาก
อย่าลากเรียวหนาม ให้เดินตามพระไป ไกลพระจะโง่
มักโอ่เสียของ เอาทองแต่งลิง อวดจริงไอ้แก่บ้า !!!
๐ อวดกล้าแก่ผี อวดมีแก่ดิน อวดกินแก่ขี้
อวดดีแก่ตาย อวดสบายแก่โรค ทุกข์โศกเสียเปล่า
อย่าเดาผิดๆ อย่าคิดโดยโง่ อย่าโตแต่เปลือก
อย่าเลือกหาทุกข์ อย่าสนุกในบาป อย่าคาบเหล็กแดง
อย่าแต่งแผ่นดิน อย่ากินของร้อน อย่านอนในไฟ
๐ ให้หากินอย่างแร้ง ให้แสวงบริสุทธิ์
ให้หยุดเหมือนใจพระ ให้ละความโง่
จะได้โตเต็มโลก ข้ามโอฆสงสาร
นิพพานไม่ไกล รีบไปอย่าช้า
จงเร่งภาวนา เถิดนะท่านทั้งหลาย ฯ.......
(หลวงตาแสง เจ้าอาวาสวัดมณีชลขันธ์ อ่างทอง ประพันธ์)
ขรัวตาแสง (หลวงตาแสง หรือพระอาจารย์แสง)
วัดมณีชลขัณฑ์ จ.ลพบุรี มีชื่อเสียงในสมัยรัชกาลที่ ๒-๓
เป็นพระอาจารย์ที่เก่งมากองค์หนึ่ง
เป็นบูรพาจารย์สำคัญของ
ขรัวโต สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี)
วัดระฆังโฆสิตาราม
ขรัว เป็นคำเรียกพระภิกษุที่มีอายุมาก บวชมานาน
แต่ไม่มีสมณศักดิ์ใดๆ
บังสุกุลตาย
อะนิจจา วะตะ สังขารา
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
อุปปาทะวะยะธัมมิโน
มีความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิต๎วา นิรุชฌันติ
เกิดแล้วย่อมดับไป
เตสัง วูปะสะโม สุโข
ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้นได้ย่อมนำมาซึ่งความสุข
ท้าวสักกเทวราชตรัสคาถาพร้อมกับ
พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน
(จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค ข้อ ๑๔๗)
สัพเพ สัตตา มะรันติ จะ
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
มะริงสุ จะ มะริสสะเร
ที่กำลังตายอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี ที่ตายไปแล้วก็ดี ที่จักตายต่อไปก็ดี
ตะเถวาหัง มะริสสามิ
ตัวของเราก็จักตายอย่างนั้นเหมือนกันนั่นแล
นัตถิ เม เอตถะ สังสะโย
ความสงสัยในเรื่องตายนี้ ไม่มีแก่เราเลย
๓๒