หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

คณะบริหารธุรกิจร่วมกับกลุ่มพุทธธรรมกรรมฐาน

วันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๖ เวลา ๑๕.๐๐ น.

ณ ห้องประชุมภาควิชาอุตสาหกรรมการบริหาร ชั้น ๔

มหาวิทยาลัยรามคำแหง (หัวหมาก)

แล้วเหรอ อาราธนา บางคนแปลให้จนยาวเลยนะ ขอให้แสดงธรรม ที่ว่าไปนี้มันเป็นคำขอให้แสดงธรรม เท่าที่ผู้ฟังทั้งหลายจะเข้าใจนะ ขอให้พระคุณเจ้าช่วยเมตตาแสดง อ่ะ ให้ญาติโยมทั้งหลายได้ฟังด้วย แหม อาตมาก็ไม่ได้เป็นนักเทศน์อะไรนะ นักฝอย เป็นขี้ฝอย ไปที่ไหนก็ไปฝอยเฉยๆ อ่ะ ถึงยังไงๆ ก็ตั้งใจบันทึกธรรมะไว้ในหัวใจ เขาเรียกว่าจดจำ นำไปประพฤติปฏิบัตินั่นเขาเรียกว่าบันทึก หัวใจเรามันบันทึกเอาได้ทุกอย่างหลายอย่าง ตั้งแต่ได้รับการศึกษามา ตั้งแต่เยาว์วัยก็เริ่มบันทึกมาเรื่อยๆ จนตราบเท่าอายุเราปูนนี้แล้ว ก็ยังบันทึกไม่รู้จักสิ้นไม่รู้จักจบ บันทึกธรรมะ บันทึกศีลธรรมไว้ในหัวใจ อ้า แต่ว่ามันไม่มี มีเครื่องอัดบันทึกได้อย่างไรหรอก บ่มีซีดี(แผ่นบันทึก CD) บ่มีอะไรเลยอัด เอาหัวใจเราอัดเอาเลย

 

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง

อิมัสสะ ธัมมะปะริยายัสสะ อัตโถ

สาธายัสมันเตหิ สักกัจจัง ธัมโม โสตัพโพติ

 

อันนี้หลวงปู่ก็บันทึกมาเหมือนกัน บันทึกได้ก่อนไปงานศพ หลวงปู่ นั่น นู้น หลวงปู่เมืองเชียงใหม่ เพิ่นอยู่โน้น หลวงปู่แหวน(หลวงปู่แหวน สุจิณโณ) เราได้บันทึกเอาไว้ เอาหัวใจบันทึกเอานะ อ่าน ฟังแล้วก็เข้าใจมัน โอ้ คนจะดี มันจะดีขึ้นมาเองหรือเปล่า คนจะชั่ว มันจะชั่วเองหรือเปล่า หรือว่าคนกระทำต่างหาก ประพฤติตามอำนาจกิเลส โลภโมโทสัน โกรธ สิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นที่ใจ เราตามใจมันหรือเปล่า ถ้าความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดขึ้นที่ใจแล้วตามใจมันหรือเปล่า ถ้าไปตามใจมันทุกเรื่อง เราก็แย่สิ แย่หมด แย่มาก ฟื้นตัวไม่ขึ้นแล้ว ถ้ามันโลภก็ไปโลภตามมันซะ ถ้ามันโกรธก็ไปโกรธตามมันซะ ถ้ามันหลง

 

หลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี

หลงหาทั้งตาปี ไม่รู้เบื่อเชื่อตัณหา

หลงต่างๆ นานา ที่เราหลงมาแล้วทั้งหลาย ก็เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวันนะ เขาฉลองปีใหม่หรือเขาทำอะไรปีใหม่ เขาก็แสดงความหลงของเขาออกมา ให้คนทั้งหลายได้รู้ สนุกสนานเต็มที่ โย้วๆๆ เลย ที่ทำไปตามอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลงของตัวเองที่หลอก เขาเดินขบวนกันอยู่ทุกวันนี้ เขาก็เดินตามความนึกความคิดของเขาเฉยๆ ไม่ใช่เป็นของจริงอะไรหรอก ของจริงครูสอนเรายังไง เราก็ได้เข้าโรงเรียนกันอยู่ ครูบาอาจารย์ก็สอนกันมาเรื่อยๆ พระเจ้าพระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระอยู่ ท่านก็สอนอยู่เรื่อยๆ ไม่ให้ลุอำนาจแก่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉา ริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร จองกรรมซึ่งกันและกัน ท่านไม่ให้ลุอำนาจแก่ของเหล่านี้เลย ให้อดซะดีกว่า ไม่มีเรื่องมีราว เขามาชวนทะเลาะ เราก็ไม่ทะเลาะตาม เขามาด่ากะเราเสียๆ หายๆ เราตรวจดูว่าเราไม่เห็นเสียหายตรงไหน เราก็เลยไม่โกรธ ยิ้มฟัง ยิ้มฟังเพราะเราไม่ได้โกรธไม่ได้เสียหาย ไม่ได้ด่า ไม่ได้ว่าใครเลย เขามาใส่ร้ายป้ายสีให้เราโกรธ เราไม่โกรธ เราก็ยิ้มฟังสิ จะไปโกรธเขาตอบทำไม เออ ที่นี้เขาว่ามาสาดน้ำใส่กัน สาดขี้โคลนใส่กันต่างหาก คนลุอำนาจแก่ความโกรธ ความโลภ ความหลงเหล่านี้ เหมือนกันสาดขี้โคลนใส่กันนั่นแหละ ขี้โคลน ขี้โคลนเหม็นๆ ตามคลองก็เลยมันเหม็น มันเน่า มันสาดใส่กันอย่างเนี่ยอ่ะ คนนั้นสาดใส่เรา เราก็สาดใส่เขา เขาก็สาดใส่เรา เราก็สาดใส่เขา เอาไปเอามาต้องลงไม้ลงมือกันจริงๆ มีเอาศาสตราอาวุธก็เอาออกมาใช้มาล่ะปะเนี่ย มีมีด มีขวานก็ใส่กันเลย มีค้อน อ่ะ เป็นเหลี่ยมๆ ไม้หน้าสามหน้าสี่ก็ตาม ก็จับออกมาตีกันชุลมุนวุ่นวาย นั่นเรียกว่าลุอำนาจแก่ความชั่ว ความไม่ดี ความชั่วช้าลามก เลวทราม เอาไปใช้ในสังคมไม่น่าเลย เออ สามีภรรยาเสร็จ เออออห่อหมกกัน ตกลงกันนะ เขาก็ ไม่ ไม่ใช่อา... เออ ความชั่วตกลงกันได้ด้วยความรัก ความเมตตาปรานีกัน จึงได้ตกลงกัน โอเค กัน อ่ะเฮอะ เออ นี่ภาษาอื่นเขา โอเค กัน เขาตกลงกันน่ะ ไม่ใช่มันเกิดเองนะ มันเกิดมาทีหลัง ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ความรักก็ดี ความชังก็ดี ความดีใจ เสียใจ ร้องไห้ หัวเราะเหล่านี้มันเกิดทีหลังเรา เราไม่ได้เอามาพร้อมหรอก มันเกิดทีหลังเรา แต่ว่าลุอำนาจแก่ความโกรธ อำนาจแก่ความโลภ ความโกรธ ความหลงจนหลุดยึดไว้ไม่อยู่ ยึดอำนาจมันไม่อยู่ มันรู้ไส้กัน มีมีดก็เอามีด มีขวานก็เอาขวาน มีไม้ตะบองก็เอาไม้ตะบอง ไม้สี่เหลี่ยม สามเหลี่ยมอะไรก็แล้วแต่ ได้เหมาะๆ มือก็ วืดวือใส่กัน รู้จักบ่ วืดวือใส่กัน เข้าห้ำหั่นกัน ตีกันหัวร้างข้างแตก เป็นโทษถึงโรงถึงศาล ติดคุกติดตะรางก็มี บางรายก็ตายเลย ถ้าพลาดพลั้ง ตีไปถูกที่สำคัญๆ ท้ายทอย หรือ อ้า เข้าสมองหรือที่ใดที่สำคัญๆ น่ะ ด้วยความโกรธแรง ความโกรธแรงก็ลงมือแรงนี่แหละ เวลาลงมือก็ลงให้สาใจเต็มที่ อันนั้นหัวแตก แตกเลย บางทีก็สลบเลยไม่ฟื้นเลย ตายจริงๆ เลยอย่างนี้ แล้วผู้กระทำอย่างงั้น มันเป็นยังไง มีความผิดหรือเปล่า กระทำลุอำนาจเกิดกิเลสอย่างนี้ มีความผิดหรือเปล่า ความโลภเกิดขึ้นก็ไปลุอำนาจแก่ความโลภซะ ความโกรธเกิดขึ้นก็จะไปลุอำนาจแก่ความโกรธซะ ความรัก ความชัง ความยินร้ายดี... เออ ดีใจ เสียใจอะไรก็ไปลุอำนาจแก่มันทุกอย่าง มันจะเป็นยังไง บ้านเมืองของเราจะ ชลมุนวุ่นวายหรือเปล่า จะวุ่นวายหรือเปล่า โอ้ย อย่าบอกใครเลย เพียงแต่มองดูตามคำพูดนี้เฉยๆ มันจะเห็นว่ามัน ปมด้อยมันอยู่ที่นี่ จุดที่ให้กิเลสมันอยู่ที่นี่ ให้โกรธกัน ชังกัน มันอยู่ที่นี่ ให้อาฆาตมาดร้ายกันก็อยู่ที่นี่ มันเกิดจากใจนี่แหละ เพราะฉะนั้น ทางศาสนาเพิ่นได้ห้ามมัน ยุติมันซะ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง อะไรก็อย่าเอามาใช้ เอามาใช้นะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาเลย เออ ไปนอกใจทาง อย่าไปเชื่อใจทาง อย่าไปวางใจคน มันจะจนใจเรา ไม่ดีเลย ไปเชื่อพวกของมัน มันไม่ดี เราจะติดคุกติดตะราง เพราะลุอำนาจแก่ความโกรธ ความอาฆาตมาดร้ายอ่ะ ที่จริงไม่สุขเลย อย่างงั้น ไม่สุขเลย ถ้าจะให้มันเป็นสุข

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

 

แน่ะ เพิ่นบอกไว้ที่นี่ บอกไว้ว่า

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

 

ความพร้อมเพรียงของคนหมู่ใหญ่ยังความเจริญให้สำเร็จ

 

สะมัคคานัง ตะโป สุโข

 

ความเพียรของชนหมู่ใหญ่ยังความเจริญให้สำเร็จ ทุกอย่าง ถนนหนทาง คลอง น้ำประปา น้ำอะไรก็แล้วแต่ อ๋อ น้ำท่วมบ้านท่วมเมืองก็แล้วแต่ ความพร้อมเพรียงของชนหมู่ใหญ่ช่วยกัน พัฒนากั้นมัน จะกั้นด้วยไม้ จะกั้นด้วยฝา จะด้วยอะไรก็ดี ด้วยดินก็ดี ต้องกั้นด้วยปัญญา กั้นมันไว้ได้ มันก็ไม่ได้อันตรายต่อข้าวกล้าในนา ผักนางอางหญ่าที่เราปลูกไว้ทั้งหลายก็ไม่เสียหาย เพราะเรากั้นมันไว้ได้ อืม ถึงมันจะท่วม มันก็ท่วมไปตามนิดๆ หน่อยๆ ไฟมีความโกรธ ถ้าไฟคือความโกรธปะเนี่ยลุกขึ้นแล้ว ไม่มีถอยเชื้อเพลิงมันออก มีแต่ใส่เข้าไป มีแต่ใส่เข้าไป มันจะเป็นยังไง ใส่เชื้อเพลิงเข้าไป บ้านใหญ่ๆ ตึกใหญ่ๆ มันจะ กี่ชั้น ๑๐ ชั้น ๙ ชั้น ๑๐ ชั้น ๑๐๐ ชั้น ๑,๐๐๐ ชั้นก็ตาม ถ้าเอาเชื้อเพลิงมาใส่ให้มัน มันก็เอาแบบนี้ แม้แต่สีทองมันก็ละลาย ถ้าใส่เชื้อเพลิงให้มันเยอะๆ แม้แต่ๆ ทอง โลหะต่างๆ ก็ละลายไปหมดเลยอย่างงี้ อันหัวใจของเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปลุอำนาจแก่ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความอิจฉา ริษยา พยาบาท อาฆาตเหล่านี้ อะไรจะละลายก่อนหมู่ ตัวของเราแหละจะละลายเอง อืม มันเผาตัวเอง ตัวก็จะละลาย หัวใจจะช็อก หรือเป็นอะไรว่า มันๆๆ มันร้อนเกินไป ช็อกลงมา ได้หามเข้าโรงพยาบาล เป็นจำนวนไม่น้อยวันหนึ่งๆ คนช็อก ช็อกด้วยความโกรธมาก ช็อกด้วยความอิจฉา ริษยา พยาบาทมาก ตูม เบียดเบียน รังแก ทารุณเราขนาดนั้น เราก็อดไม่อยู่ เขาแสดงมาเราก็แสดงไป พอได้มีดก็เอามีด พอได้ขวานก็เอาขวาน พอได้ไม้สี่เหลี่ยม หรืออะไรที่เหมาะๆ มือ เอาสิ่งนั้นออกมาใช้ อย่างนี้เรียกว่าลุอำนาจแก่ฝ่ายต่ำ กิเลสฝ่ายต่ำ มันยุให้รำ มันตำให้รั่ว มันยั่วให้แตก มันแยกให้ออก ตอกลิ่มลงไป มันจะหนาขนาดไหน ตอกลิ่มเข้าไป ไปแยกออกจากกันได้ เออ ไอ้พวกที่ข้าราชการบ้านเมืองก็เหมือนกัน อ่ะ นี่ไม่ได้ว่าเสียดสีใครหรอก ถ้าหากมันยุ ฟังคำยุ คำแหย่ คำยุยงส่งเสริม ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ ไม่ถือเสมอกัน รักเสมอกัน เคารพเสมอกัน และก็ย่อมอยู่ร่วมกันเป็นสุข หากมีความแตกแยกกันภายในจิตใจ อย่างอื่นมันก็จะแตกไปด้วย อยู่ใกล้อะไรก็แตกไปด้วย อยู่ใกล้หม้อ หม้อแตก อยู่ใกล้ไหก็ไหแตก อยู่ใกล้โอ่งน้ำโอ่งน้ำก็แตก แตกไปหมด ฝาบ้าน ฝาช่อง ประตูบ้าน ประตูช่อง ถึงใส่กุญแจไว้อย่างดีก็ตาม ถ้าไปลุอำนาจแก่ความโกรธ ของเหล่านั้นจะพังไหม พัง ถล่มทลายไปมากมายแล้ว เออ แล้วยิ่งฝ่ายตรงกันข้าม มาทำอย่างงั้น ยิ่งเกิดไฟอย่างใหญ่ล่ะ มาทำอย่างงั้น มาดูถูกเราอย่างนั้น ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้นการยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก มันจะแยกให้ออก จากหมู่ จากพวก ไม่เป็นหมู่เดียวกันแล้วปะเนี่ย เข้าข้าง เห็นว่าทางนู้นดีกว่าชนะกว่าไปเข้าข้างทางนู้น ถ้ารบกันอยู่ไม่รู้จักสิ้นจักจบ ฝ่ายนี่แพ้ ฝ่ายนี่ชนะ ก็ไปเข้าฝ่ายทางชนะไปซะ เอาเสียงข้างมากไปซะ อย่างงี้เรียกว่า ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก ออกจากหมู่ จากพวก ไม่ดีเลย แล(ดู)กับสุภาษิตที่ยกขึ้นตะกี้นี้

กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง

 

แน่ะ เหตุที่เสียศีลเสียธรรม ก็เพราะความโกรธ เหตุที่เสียชื่อเสียเสียง อ้า ยศถาบรรดาศักดิ์ พังไปเป็นแถวๆ ก็เพราะยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก ทำนองนี้ล่ะ อ้า อย่าไปฟังคำยุคำยงกัน เออ อย่างนั้น แหม เราทำงานเป็นกลุ่มเป็นก้อน อยู่ในมหาวิทยาลัยรามคำแหงทั้งหมดเนี่ย อาจจะแตกกันเป็นก๊ก เป็นเหล่ากัน มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เชื่อคำโกรธ คำยุ ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก อย่าให้เขาไปเข้ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นคนมีปัญญาเบา ปัญญาไม่หนักแน่น ทำใจให้หนักให้แน่น แม้จะฟ้าจะผ่าเปรี้ยงลงมา ยังยิ้มดูอยู่เฉยๆ น่ะ เออ ไม่เป็นไรหรอกๆ ผ่าก็ผ่าไป เอา ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา เราก็เฉยอยู่ ทุกวันมันระบุฟ้าผ่ามากมายนะ ปืนประลัยกัลป์ มหาประลัยกัลป์ มันก็มีอยู่ในโลกนี้ ระเบิดมหาบรรลัยกัลป์มันก็มีขึ้นมาในโลกสร้างขึ้นมาได้ ประเทศญี่ปุ่นจะแพ้สงครามเขาสมัยนั้น ระเบิดลูกเดียวเท่านั้นล่ะ ไปทิ้งญี่ปุ่น ตูมเดียวเท่านั้นแหละ บ้านเมืองพังถล่มทลาย คนตายเท่าไหร่ ไม่ได้ถูกระเบิดหรอก แต่หัวใจมันช็อกตายกันเป็นเบือเลยล่ะน่ะ อ้า ลง ลงไป อ้า เกิดลมใหญ่เข้าพัด ตายเท่าไหร่ เราก็จำไม่ได้ด้วย ญี่ปุ่นเหตุที่จะเลิกการสงคราม เรียกทหารกลับมาจากต่างประเทศ พักอยู่ในเมืองเราก็มี เออ แล้วก็บวชอยู่ในเมืองเราก็มี ไม่กลับบ้าน กลับไปแล้วบ้านก็คงพังไปแล้ว ไฟไหม้แล้ว ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย อยู่ในเมืองไทยนี่สบายกว่าเพิ่นเนาะ(นะ)

พระมหาราชาท่านก็มีเมตตาปรานี คนทุกชาติ ทุกภาษา คนทุกระดับได้พึ่งพา อาศัย พระราชาผู้ปกครองแผ่นดินโดยธรรม แหนะ ให้ความเสมอกัน ไม่ได้ลักลั่นกันเลย ไม่เข้าทางนู้นดี ทางนี้ดี ก็ไม่ไป ไม่ไปตามใคร ใครจะมายุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก ไม่ฟัง ไม่เชื่อคำของใคร เชื่อฟังคำหัวใจเราดีกว่าเพิ่นว่า หัวใจของเพิ่นเป็นธรรม เป็นธรรมที่สุด เนี่ยในหลวงท่านเป็นหัวใจเป็นธรรม ทำใจให้เป็นกลางที่สุด ไม่เป็นศัตรูกับบ้านใดเมืองใด แขกบ้านแขกเมืองเข้ามา คารวะถวายความจงรักภักดี นับขบวนไม่ถ้วนแต่ละวัน มากันด้วยความเอิบอิ่มมา นั่นหัวใจเป็นธรรม หัวใจมีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งโลก ไม่เฉพาะแต่คนไทยอย่างเดียว คนจีน คนแขก คนฝรั่ง คนอังกฤษเอยมา ให้ความเสมอภาคกันเหมือนกัน ต้อนรับเหมือนกัน อ่ะ กองทุนที่จะสำหรับเลี้ยงแขกก็คงจะมีอยู่อ่ะ

แน่ะ ผู้ใจเป็นธรรม ใจเป็นกลาง วางตัวไม่เอียงซ้าย เอียงขวาที่ไหนเลย ตรงแน่ว ประชาธิปไตยตรงแน่วอยู่อย่างงั้น ไม่ล้มไปตามคำยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตกใดๆ ไม่ไปเพราะตามใคร เพราะชาติของเราอยู่ดีกินดีแล้ว ช่วยเหลือให้แก่พี่น้องผู้ตกทุกข์ได้ยาก อ่ะ น้ำท่วมไร่ท่วมนา ไฟป่าห่า ไหม้บ้าน ไหม้ช่อง ไหม้สวน เกิดปลูกกว้างขวางแล้วลำบาก ลึกขนาดไหน ขาดทุนไปเท่าไหร่ อันนั้นอยู่ในดุลยพินิจของท่านอยู่แล้ว ท่านผู้ปกครองประเทศ อยู่ในดุลยพินิจคิดพิจารณา

เราจะหาหนทางช่วยเหลือเขาอย่างไร พวกที่ล่มจมไปในการเพาะปลูกทั้งหลาย ตั้งแต่ยังไม่มีภัยท่านก็นั่งพิงฝา

 

คิดสูตรทำฝนเทียม

คิดสูตรทำฝนเทียม

คิดจนออก คิดจนได้ ได้สูตรฝนเทียมมา

 

อ่ะ ก็ดีใจภูมิใจ เพราะว่าไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเกิดเดือดร้อนมา ถ้าน้ำไม่มีทำไร่ทำนา เราจะทำยังไง ก็ยังได้สูตรฝนเทียมขึ้นมา ทำยังไงนู้นล่ะสูตรฝนเทียม เราก็ไม่ได้เรียนหรอก เอากรดอะไรของใน เอาเกลือ เอาน้ำแข็งหรืออะไรใส่กัน บวกกันเข้าไปขึ้นเครื่องบิน โปรยในอากาศนู้นน่ะ มันไม่ตกลงมา ถูกเครื่องเย็นปรับตัวเป็นก้อน เป็นก้อนใหญ่ๆ เป็นก้อนเมฆใหญ่ๆ แล้วก็ เอาไว้ไม่อยู่แล้ว ลงใส่ไร่ใส่นาเขา บางปีทำอยู่เมืองไทย เพื่อจะช่วยเหลือพี่น้องเมืองไทย มันแห้งมันแล้ง แต่ว่าดันพายุใหญ่มาพัดเข้าไปเพิ่นก็ตกในประเทศลาว ประเทศจีนไปนู้น ตกไปทางนู้น อ้า โอ้ มันไม่อยู่กับที่ เออ มันเหมือนกับน้ำอย่างอื่น น้ำ น้ำฝนเทียม มันมาโปรยที่กรุงเทพฯ แค่นี้ แต่มันอาจจะไปพลัดตกพู้น(โน้น)ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลัดตกนู้นที่ภาคเหนือ ตกภาคตะวันออก สุดๆ ไปท่วมแผ่น(ดิน) ประเทศเขมรเขมินไปก็ได้ แน่ มันไม่แน่มันเป็นอนิจจัง อ้า เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน คิดได้แล้ว ก็ไม่สมปรารถนาเป้าหมาย เออ แม้จะใส่เครื่องบินขึ้นไปโปรยข้างบนก็ตาม แต่มันมีเครื่องเป่ามันไปทางอื่น ไม่ได้ตกที่เป้า ไปตกที่เป้าเมืองอื่นนู้น อ้า เห็นอยู่ว่าบ้านเมืองเขาท่วม ท่วมบ้านท่วมเมืองไปก็มี อย่างนี้มันไม่แน่นอน มันเป็นอนิจจัง อันนี้เป็นเรื่องสังขาร ตัวของเรานี้ ทุกคนก็เหมือนกัน อนิจจังมันอยู่ในตัวเรา มันไม่เที่ยงอยู่ในตัว มันอยากเจ็บก็เจ็บ มันก็อยากป่วยก็ป่วย มันอยากตายก็ตาย แล้วแต่หมอจะช่วยให้ได้ ถ้าหมอเจ๋งจริงเหรอ ตัดสายโลหิตออกแล้วเอามาต่ออันใหม่ยังได้อยู่ ตับ ไต ไส้ พุง แม้องค์ที่พูดอยู่นี่เขาก็เอาไปกินแล้ว อ้า

ถุงน้ำดี มันเป็นนิ่วอยู่ในน้ำดี

 

นอนไม่ได้ กินไม่ได้เลย มันบิดอยู่ล่ะ อ้าว เจ็บ เจ็บท้องตรง ถุงน้ำดีนี่แหละ อืม พู้น(โน้น)ไปงานศพหลวงปู่ เออ อะไรอ่ะ วันงานศพของท่าน ไม่เสร็จเลย เราหนีไปนอน มันก็ยังเอาอยู่ เอ๊ะ ไม่หยุด อ้าว มันจะใจขาดตายแน่ เอารถออกเร็ว ไปโรงพยาบาลเอกอุดร มีรู้จักเขาอยู่ที่นั่นให้เขาช่วย เขาผ่าตัดก็ได้ เขาทำอะไรก็ได้ ฉีดยาบรรเทาก็ๆ ได้ อาจจะรอดตาย ทางโรงพยาบาลแพทย์ปัญญาเนี่ย กรุงเทพฯ เนี่ยได้ยินข่าว ได้ยินข่าวว่าเจ็บอย่างนี้ เจ็บอย่างนี้อันตราย เอาไม่ทันนะๆ เว้ย ตายเป็นตายเลยนะ แต่ในสมัยนั้นที่พระองค์ อ้า พระองค์โสมฯ ท่านยังมีนั่นอยู่ เป็นภรรยา เป็นนั่นอยู่ แล้วก็รับผิดชอบอยู่ เพิ่นได้ยินข่าว รถโรงพยาบาลนั้นนำตัวส่งถึงขอนแก่น นำตัวถึงโคราช โคราชนำตัวถึงโรงพยาบาลแพทย์ จึงได้มีชีวิตรอดมา ด้วยบารมีธรรมของท่านเหล่านั้น ช่วยเหลือเราปลอดภัย จะตัดใจให้ดูแผลก็ได้ แต่ว่าอายเขาขนาด เฮอะๆ เขาปาดยังไง เขาทำยังไง เขาปาดยังไง ตัดขั้วออกยังไง เออ รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไม่ตาย อ้า โลหิตนั้นก็มี มันโป่งอะไรขึ้นใน เส้นโลหิตใหญ่นู้นก็มีอีก ตัดออก กระดูกก่ายกัน เกยกัน อย่างงี้กระดูกมาเกยกันอยู่สันหลัง อย่างงี้ก็มีเพราะอุบัติเหตุ ถ้าไปรถชนภูเขาแล้วมัน อ้า สันหลังมันๆ เกยกัน กระดูกเข้ามาตีกันแล้วมันก็ปวดมหาศาล อ่ะ เขามาตรวจดูอันนั้นอันนี้ โอ้ย กระดูกมันเกยกันตรงนี้ๆ มันเกยกันตรงนั้นก็ปวด อ้า ซ้ายขวาๆๆ ซ้ายอยู่นั่น เราก็ไม่รู้เรื่อง อิโหน่อิเหน่อะไรเขาหรอก แล้วแต่หมอคิด เออ ร่างกายอันนี้เป็นของหมอแล้วนะ เออ ให้หมอคิดเอง ดังนี้ อันนี้พูดเรื่องธรรมะความเป็นจริงให้ฟัง มันมีทุกคน มีตัว มีตน มีเรา มีเขาขึ้นมา มีความรัก มีความชัง มีความยินร้าย มีความยินดี มีความดีใจ มีความเสียใจ มีการร้องไห้ หัวเราะ โศกศัลย์พรรณนา มันเกิดขึ้นได้กับพวกเราได้ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น อย่าไปเชื่อใจมันน่ะ อย่าไปเชื่อใจทาง อย่าไปวางใจคน มันจะจนใจเรา อันนี้บอกไว้ตั้งแต่โบราณมา อย่าไปเชื่อร่างกาย เออ เวลามัน

 

แอคซิเด็น(accident อุบัติเหตุ เรื่องไม่คาดคิด)ขึ้นมาทำไง

แอคซิเด็น(accident อุบัติเหตุ เรื่องไม่คาดคิด)ขึ้นมา

 

มันกระดูกขี่กันขึ้นมา จะทำยังไง หมอต้องช่วยกระทันหัน เออ อย่างรวดเร็ว จึงได้มานั่งเทศน์อยู่นี่เดี๋ยวนี่ ก็เพราะหมอช่วยเอาไว้ ถ้าหมอไม่ช่วยคงจะ จะตำแหยแหละ อืม รู้จักบ่จัก ตำแหย ตายแล้ว หลวงปู่ทั้งหลาย เพิ่นได้ตายไปหลายแล้ว ตายแล้วๆ อันนี้ดันๆๆ มาอะไรมา ๘๐ ปี ดันมาอีกอยู่รอดมาได้ ๘๖ ปี อืมๆ ได้ ๖๖ พรรษา เออ เป็น ๘๖ ปีแล้ว อ้า เพราะฉะนั้น คนป่วยนะ มาเทศน์วันนี้ คนป่วยมาเทศน์ให้ฟัง หากไม่ถึงอกถึงใจต้องขออภัยด้วยเด้อ กำหนดจดจำนำไปพินิจพิจารณา พวกเรามันอยู่วัยชราแล้ว แก่แล้ว ต้องกินอาหารเป็นเวลา อาหารอะไรมันผิดสำแดง ก็อย่าไป นั่นมากมาย แล้วอย่าไปกินเหล้า อย่าไปยอมมัน เซไปเซมามัน มันเฒ่าคนแก่มัน ล้มลงเป็นลูกผักก็มี อ้าๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ทั้งหลายเรื่องเมื่อกี้นี่ อยู่ดีๆ อย่าหาว่าพี่โกหกเพราะว่า เออ มันไม่ใช่ มันเป็นความจริง ตาย มันโดยไม่รู้ตัว มันเกิดกะทันหันขึ้นมา ปัจจุบันขึ้นมา มันจะทำให้อะไรอุดตัน อะไรต่ออะไรอุดตันขึ้นมา มันหายใจไม่ออก อืม ถ้ามันเป็นที่หัวใจก็ผ่าซะ ผ่าเปลี่ยนเส้นเอ็นซะ มันเป็นที่ตับ มันเป็นถุงน้ำดีที่ตับก็ตัดออกทิ้งซะ เอาสิ เอามาผ่ามาให้ดู โอ้ย อยู่ในถุงน้ำดีอยู่นี่ถุงนี่ ตั้ง ๗ ตัว ๘ ตัว เออ ตัวขนาดเม็ดอะไรอ่ะ เม็ดพุทราเม็ดเท่านี้หรอก ไม่ใหญ่อะไรหรอก แอ้ มันเป็นอย่างงั้นแหละร่างกาย เพราะฉะนั้น ก็ฝากฝังกับญาติกับโยมไว้ เออ ถ้ายังไม่ตายก็มาอยู่อย่างงี้แหละ เออ มาตั้งแต่ สมัยสนามกีฬายังไม่เกิด กีฬาใหญ่อย่างนี้ยังไม่เกิดนู้นแหละ มาคราวนี้มีสนามกีฬาใหญ่ เออ อ๋อ เรามาอยู่โรงบาลแพทย์ปัญญา สมัยก่อนโรงบาลแพทย์ปัญญา มานี่ คุณหมอปัญญา ท่านเสียชีวิตไปแล้ว เขาเลยไปเอาตัวหลวงปู่มา มาช่วยเหลือ มาช่วยให้ความอุปถัมภ์บำรุงอยู่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

อันนี้มาอยู่โรงพยาบาลวิชัยยุทธก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ นะ เขาให้ไปเทศน์ ไปเทศน์ เขาเอาคนมาหลายๆ เต็มห้องประชุมเลย แล้วก็บอกกล่าวบุญกุศลอะไรๆ มีการสร้างอะไรๆ อยู่ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างอะไรอยู่ ก็บอกคนจำนวนมากล่ะ ได้เงินเป็นแสนๆ น่ะ อ้า แล้วก็แบ่งไว้ให้ทางโรงพยาบาลบ้างไว้ต่างหาก อันนี้เอาไปสร้างวัดให้เขานะ อันนี้ให้เจ้าหน้าที่ พนักงานดูแลภิกษุสามเณรป่วย อ้า ให้เป็นกองทุนมูลนิธิไว้ให้ทุกครั้งล่ะ เออ เดี๋ยวนี้วันพรุ่งนี้เป็นวันอะไร เขาจะเอาไปอีกเว้ย เอาไปที่โรงพยาบาล อีกเหมือนกัน แต่ว่าได้ประโยชน์ คือว่าช่วยชมรม ช่วยคนไข้ทั้งหลายด้วย และก็ยังหักค่าใช้จ่ายให้แก่กองทุนมูลนิธิของโรงพยาบาลเรื่องรักษาภิกษุไข้ แบ่งให้ทุกครั้งๆ ล่ะ เออ อันนี้มันหลายแล้ว อันนี้หลายแล้ว อันนี้พอจะสร้างเจดีย์ต่อได้อยู่ เออ หาให้ทุกครั้งๆ ไป ถ้าไปเทศน์ที่นั่น เออ เขาให้เยอะกองทุนเขารู้เรื่อง เพราะฉะนั้น พวกเราเนี่ยมีกองทุนหรือเปล่าเนี่ย อืม มีกองทุนก็ช่วยกันเด้ ช่วยกันตั้งกองทุนมูลนิธิไว้ให้โรงพยาบาล เออ เราบ้าง หรือโรงพยาบาลทางอุดรฯ ก็มี โรงพยาบาลขอนแก่นก็มี เออ เราเคย ไปที่ไหนก็ช่วยเขาที่นั่นแหละ อืม ช่วยเขาไว้ เรายังไม่ตาย เรายังแข็งแรงอยู่ อืม เรายังไม่ตายหรอก ยังแข็งแรงอยู่พอจะชกมวยได้อยู่ เฮอะๆ เออ เพราะฉะนั้น อันนี้มีคำตลกๆ ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พวกเราทุกคน ธรรมชาติรักษาเรา ชีวิตของเราจึงอยู่รอดปลอดภัยมา เพราะธรรมชาติ อำนาจของบุญ ของกุศลบ้าง อำนาจศีลธรรมบ้าง อำนาจพระศรีรัตนตรัย เราเคารพพระรัตนตรัย ไหว้ทุกเช้า ทุกเย็น เคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรม เคารพพระสงฆ์ อันนั้นก็เป็นยาวิเศษเหมือนกัน หายโรคหายภัย ที่มารุมๆ กันวันนี้ใครเป็นโรคอะไรๆ

ขออวยพรให้ทุกคนจงหายจากโรคภัยไข้เจ็บล่ะ อย่าได้เจ็บอย่าได้เป็นอะไรเลย ให้เป็นอยู่ อ่ะ เหมือนบ้านเหมือนเมือง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของลูกของหลานสืบไปนานเท่านานเด้อ

คุณยาย คุณยายยังหัวหงอกหรือหัวใส อยู่ไหนเว้อ เออ ดีใจกว่าหลวงปู่หรือเปล่า หลวงปู่ ๘๖ ปีแล้วนะ อันนั้นเท่าไหร่แล้ว คุณยายหัวหงอกๆ น่ะ ถึง ๘๐ หรือยัง แต่นี่ ๘๖ ปีแล้ว เออ อยู่มารอดปลอดภัยมา ไม่อดไม่ตาย หมอรักษาให้ ก็เลยได้มาแสดงนี้ โอกาสได้มาแสดงธรรมวันนี้

ก็ขอทุกท่านจงนำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนเองเถิด อัปปมาทธรรม ไม่มีความประมาทใดเกิดขึ้น โรคภัยไข้เจ็บก็หายไปด้วยพุทธานุภาพ ธัมมานุภาพ สังฆานุภาพที่เรานับถือมา ตั้งแต่เกิดขึ้นมา เรานับถือพระรัตนตรัย ขออำนาจพระรัตนตรัยจงช่วยคุ้มครองป้องกันภยันตราย อ้า ทุกอย่างให้อยู่รอดปลอดภัยเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ของลูกของหลานสืบไปอีกนานเท่านานด้วยเทอญ

 

(สาธุ)

 

ขอให้เป็นพลวปัจจัยติดตามตนไปทุกภพทุกชาติเทอญ

 

(สาธุ)

 

มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่ในร่างกาย ก็ขอให้หายไปซะ

 

(สาธุ)

 

ทุกคนๆ ขอให้โรคภัยไข้เจ็บอยู่ในร่างกาย หายไปเลยเนี่ย

 

(สาธุ)

 

ถ้าผัวหาย เมียก็ให้เข้าใจเองนะ ถ้าเมียหาย ให้ผัวเข้าใจเองนะ ไปเที่ยวอยู่แถวไหนอ่ะ อย่าพึ่งว่านะครับบบ เออ เออ อ้า ไม่ยากหรอก

 

(ถวายไฟฉาย)

แม่เอย มีอะไรถวายพระอ่ะนะ มีอะไร เออ ไฟฉาย

 

ทีปะโท โหติ จักขุโท

 

เพิ่นว่าให้แสงไฟ ชื่อว่าให้ดวงตา แอ้

 

ทีปะโท โหติ จักขุโท

ยานะโท สุขะโท โหติ

 

ผู้ให้ยาน ชื่อว่าให้ความสุข

 

ขอให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญ ตลอดไปเด้อ

 

(สาธุ)

 

ได้เวลาแล้ว ธาตุขันธ์ มันบอกกลับแล้ว แก้เว้ย มันบอก มันบุกถึงไหนแล้ว อ้า อ้า อ่ะ

 

 

 

กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง

การงาน ๑ วิชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอันอุดม ๑

 

ทีปะโท โหติ จักขุโท

ผู้ให้ประทีปโคมไฟ ชื่อว่าให้จักษุ

 

ยานะโท สุขะโท โหติ

ผู้ให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุข

 

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

ความพร้อมเพรียงของหมู่ ให้เกิดสุข

 

สะมัคคานัง ตะโป สุโข

ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงกัน ให้เกิดสุข

 

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ธรรมบท

อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ ข้อ ๒๔)

 

The Rainmaking Story

 

“เราได้หยุดอย่างเป็นทางการที่ทางแยกกุฉินารายณ์และ

สหัสขันธ์ ณ ที่นั้น ข้าพเจ้าได้สอบถามราษฎรเกี่ยวกับ

ผลิตผลข้าว ข้าพเจ้าคิดว่าความแห้งแล้งต้องทำลาย

ผลิตผลของพวกเขา แต่ข้าพเจ้าต้องประหลาดใจ เมื่อ

ราษฎรเหล่านั้นกลับรายงานว่า พวกเขาเดือดร้อนเพราะ

น้ำท่วม สำหรับข้าพเจ้าเป็นการแปลก เพราะพื้นที่แถบนั้น

มองดูคล้ายทะเลทราย ซึ่งมีฝุ่นดินฟุ้งกระจายอยู่ทั่วไป”

 

“...จากขณะนั้นเป็นต้นมา ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงปัญหาที่

ดูเหมือนว่าแก้ไม่ตกและขัดแย้งกัน เมื่อมีน้ำ, น้ำก็มากไป,

ทำให้น้ำท่วมพื้นที่ เมื่อน้ำลดก็แห้งแล้ง เมื่อฝนตก,

น้ำท่วมบ่าลงมาจากภูเขาเพราะไม่มีสิ่งใดหยุดเอาไว้

วิธีแก้คือ ต้องสร้างเขื่อนเล็กๆ (Check dams) จำนวนมาก

ตามลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขาต่างๆ จะช่วยให้กระแสน้ำ

ค่อยไหลอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเป็นไปได้ควรสร้างเขื่อนและ

อ่างเก็บน้ำเล็กๆ สิ่งนี้จะแก้ไขปัญหาแห้งแล้งได้ในฤดูฝน

น้ำที่ถูกเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำและจัดสรรน้ำให้ในฤดูแล้ง

ปัญหาหนึ่งที่ยังคงอยู่ คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งภาค

มีชื่อเสียงว่าเป็นภาคที่แห้งแล้ง ขณะนั้นข้าพเจ้าได้แหงนดู

ท้องฟ้าและพบว่ามีเมฆจำนวนมาก แต่เมฆเหล่านั้นพัดผ่าน

พื้นที่แห้งแล้งไป วิธีแก้ไขอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไร

ที่จะให้เมฆเหล่านั้นตกลงมาเป็นฝนในท้องถิ่นนั้น

ความคิดนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการทำฝนเทียม...”

 

 

“เมื่อข้าพเจ้าเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์ ไปอำเภอบ้านโป่ง

เพื่อพิธีการทางศาสนา ในการเดินทางกลับ เมฆหนาทึบ

จำนวนมากมีท่าทีว่าจะคุกคามและขัดขวางการบินของเรา

ม.ร.ว.เทพฤทธิ์จึงบินด้วยเครื่องบินปีก นำหน้าเส้นทางบิน

ของเรา, โปรยแคลเซียมคลอไรด์ตลอดทางจนถึง

พระตำหนักจิตรลดา พระราชวังดุสิต ผลก็คือเมฆเหล่านั้น

แยกออกเป็นเส้นทางโล่ง ทั้งสองด้านของเมฆแยกออก

มองดูคล้ายกำแพงยักษ์สองข้าง เมื่อเรามาถึงตำหนัก

จิตรลดา กำแพงทั้งสองเริ่มปิดเข้าหากันและมีกระแสลม

แรง ทำให้เฮลิคอปเตอร์เกือบบินกลับฐานที่ตั้งไม่ได้

และไม่ช้าก็เกิดฝนตกหนักมาก ดังนั้น แม้ว่าประสบการณ์

ดังกล่าวจะประสบความสำเร็จในการทำลายเมฆ, แต่ขณะ

เดียวกัน, เป็นความสำเร็จ ในการปฏิบัติการทำฝนด้วย”

 

(แปลความจาก The Rainmaking Story

พระราชบันทึกภาษาอังกฤษ

ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)

รัชกาลที่ ๙

 

 

วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘

คือ จุดเริ่มต้นแนวพระราชดำริของโครงการทำฝนเทียม

 

เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๒ ทรงโปรดเกล้าฯ

ให้ย้ายสถานที่ทดลองจากวนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

มาทดลองปฏิบัติการที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์

เนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นที่ที่เหมาะสม คือ

มีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย สามารถระบายน้ำลง

ทะเลได้อย่างรวดเร็ว หากฝนตกในปริมาณมากเกิน

อีกทั้งมีส่วนราชการที่พร้อมอำนวยความสะดวก

และที่สำคัญ คือ อยู่ใกล้พระราชวังไกลกังวล

สามารถเสด็จมาบัญชาการ หรือทรงร่วมวางแผน

การทดลองร่วมกับม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ตลอดจนติดตาม

ผลของเมฆทดลองได้อย่างสุดสายตาด้วยพระองค์เอง

 

“ฝนสามัคคี”

เคยเกิดน้ำท่วมมาแล้วในจังหวัดพัทลุง

เพราะขณะที่ทำฝนทางวิทยาศาสตร์อยู่นั้น

บังเอิญมีร่องความกดอากาศต่ำผ่านมาอีกทางหนึ่ง

การทำฝนเทียมอยู่อีกทางหนึ่ง

ได้ดึงดูดเอาความกดอากาศต่ำนั้นเข้ามาบังเกิดเป็นฝนตก

ตามธรรมชาติอย่างหนัก ถึงกับเกิดน้ำท่วมได้

แต่เรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษ

เพราะก่อนที่จะทำฝนทางวิทยาศาสตร์ก็จะต้องมีการ

สำรวจทางอากาศอย่างแน่นอนอยู่เสมอ ผมบังเอิญเคราะห์ดี

ได้ยินมีพระดำรัสเรียกฝนคราวนี้ว่า ฝนสามัคคี

(สยามรัฐ ฉบับวันที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๕

ความคิดเห็นของ ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช บทคัดย่อบางส่วน)

สารฝนหลวง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงห่วงใยยิ่ง

ในการนำสารเคมีฝนหลวงไปใช้ในการปฏิบัติการ

ดังนั้นก่อนที่จะทรงเห็นชอบให้นำไปใช้ จึงต้องมีการ

วิเคราะห์วิจัยอย่างถี่ถ้วน ถึงผลกระทบว่า จะเป็นอันตราย

ต่อสิ่งมีชีวิต ทั้งมนุษย์ พืช และสัตว์ ก่อให้เกิดมลภาวะต่อ

สิ่งแวดล้อมหรือไม่ ทรงให้เลือกสารเคมีที่ผลิตในประเทศ

เท่าที่จะทำได้ และราคาไม่แพง เพื่อใช้ในการทำฝนหลวง

ทั้ง ๓ ขั้นตอน คือ ก่อกวน-เลี้ยงให้อ้วน-โจมตี

 

สารฝนหลวงสูตรสร้างแกนกลั่นตัวของอากาศ

(ดูดซับความชื้น อย่างเดียว)

๑. สูตร๑ เกลือแป้ง (Sodium Chloride)

๒. สารฝนหลวง สูตรฝนหลวง ท๑

 

สารฝนหลวงสูตรร้อน

(ดูดซับความชื้น คายความร้อน ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น)

๑. สูตร๖ แคลเซียมคลอไรด์ (Calcium Chloride)

๒. สูตร๘ แคลเซียมอ๊อกไซด์ (Calcium Oxide)

 

สารฝนหลวงสูตรเย็น

(ดูดซับความชื้น ดูดความร้อน ทำให้อุณหภูมิต่ำลง)

๑. สูตร๔ ยูเรีย (Urea)

๒. สูตร๑๙ แอมโมเนียมไนเตรท (Ammonium Nitrate)

๓. สูตร๓ น้ำแข็งแห้ง (Dry Ice)

 

ตำราฝนหลวงพระราชทาน

 

ขั้นตอนที่ ๑ ก่อกวน

สร้างเมฆให้เกิดขึ้นในแนวระดับ (แนวนอน)

 

ขั้นตอนที่ ๒ เลี้ยงให้อ้วน

ทำให้เมฆรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ มีความหนาแน่นมาก

และเคลื่อนที่ช้าลง

 

ขั้นตอนที่ ๓ โจมตีแบบแซนด์วิช (Sandwich)

สร้างเม็ดฝน โดยใช้วิธีการโปรยสาร ๒ ชนิดพร้อมกัน

ด้วยเครื่องบิน ๒ ลำที่ทำมุม ๔๕ องศา

 

ขั้นตอนที่ ๔ เสริมการโจมตีเมฆอุ่น เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝน

โดยโปรยสารสูตรเย็น ที่ใต้ฐานเมฆ

 

ขั้นตอนที่ ๕ โจมตีเมฆเย็น ด้วยพลุซิลเวอร์ไอโอไดด์

(Silver Iodide) ไอน้ำที่แปรสภาพเป็นผลึกน้ำแข็งจะทวี

ขนาดใหญ่ขึ้นจนร่วงหล่นลงมา ละลายเป็นเม็ดน้ำในเมฆอุ่น

 

ขั้นตอนที่ ๖ โจมตีแบบซูเปอร์แซนวิช (Super Sandwich)

การโจมตีทั้งเมฆอุ่นในขั้นตอนที่ ๓ และ ๔

และเมฆเย็นในขั้นตอนที่ ๕ พร้อมกัน

ประสานประสิทธิภาพเพื่อให้ฝนตกมากขึ้นและเร็วขึ้น

 

ตำราฝนหลวงพระราชทาน

หลักการเบื้องต้นทั้ง ๓ ขั้นตอนได้พัฒนาไปสู่แผนภาพ

แสดงขั้นตอนและกรรมวิธีการดัดแปรสภาพอากาศ

ให้เกิดฝนรวมกัน ๖ ขั้นตอน

(วันอาทิตย์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒)

 

 

ประโยชน์ของการทำฝนหลวง

 

๑. ป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง

๒. เติมน้ำให้เขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

๓. เพื่อระบบชลประทาน การเพาะปลูก การประมง

๔. การปล่อยน้ำเพื่อผลักดันน้ำเน่าเสียและน้ำเค็ม

๕. ให้ความชุ่มชื้นกับแผ่นดินและป่า หรือดับไฟป่า

๖. ลดปัญหาหมอกควันในอากาศ

๗. ลดความรุนแรงลูกเห็บ ช่วงที่มีพายุฤดูร้อน

๘. ทำให้ฝนตกก่อนเวลา หรือก่อนถึงสถานที่สำคัญ

๙. เพื่อการคมนาคมทางน้ำ

 

 

วันจันทร์ที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๘

คือ จุดเริ่มต้นแนวพระราชดำริของโครงการทำฝนเทียม

จึงกำหนดให้วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ของทุกปีเป็น

วันพระบิดาแห่งฝนหลวง

 

ฝนหลวงไม่ใช่ฝนเทียม

แต่คือฝนธรรมชาติที่ตกลงมาจากก้อนเมฆจริงๆ

มีโอกาสเกิดปรากฏการณ์ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง หรือฟ้าผ่าได้

 

ฝนหลวงนี้ ได้รับการจดสิทธิบัตร

ทั้งในและต่างประเทศกว่า ๑๐ ประเทศ

 

นอกจากหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง ๑๐ แห่ง

ที่แบ่งพื้นที่รับผิดชอบตามภูมิภาคแล้ว

บ่อยครั้งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้ตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงพิเศษ

ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการเฉพาะกิจที่มีเจ้าหน้าที่จาก

สำนักพระราชวังร่วมอยู่ในคณะทำงานด้วย

เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติ

ภัยแล้งอย่างหนัก จนเป็นที่มาของแนวคิดการโจมตีเมฆ

แบบซูเปอร์แซนวิช เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำฝนรับมือกับภัยแล้ง

ให้ได้มากที่สุด โดยครั้งสุดท้ายที่มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการ

ฝนหลวงพิเศษ คือ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘

 

ค่าใช้จ่ายในการทำฝนหลวงต่อครั้ง

อยู่ที่ประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท

หรือคิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ ๑๐ กว่าบาทต่อไร่

ในกรณีที่ปฏิบัติการสำเร็จ

(จากบทความ ฝนหลวง www.tcdc.or.th บทคัดบางส่วน)

๔๒