หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
วันอาทิตย์ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.๐๐ น.
ณ ห้องประชุมชั้น ๒๒
อาคารศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ
โรงพยาบาลวิชัยยุทธ
(อาราธนาธรรม)
แหม ฟังเสียงอาราธนาแล้ว น่าชื่นใจจังเลย
(สาธุ)
เสียง อาราธนาตามนี้ เจตนางดเว้น ตามธรรมะ ที่ท่านแสดงไป จริงจัง และก็จริงใจ เทวดาก็โมทนาสาธุการแน่นอน ไม่ได้ว่าเล่นๆ ตั้งอกตั้งใจถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระสงฆ์ แล้วก็อาราธนาให้พระเจ้าพระสงฆ์ แสดงธรรมให้ฟัง ธรรมก็เป็นเรื่องของคนแหละ ของคน ท่านมักว่าด้วยเรื่องของคน ความโลภ ความโกรธ ความหลง เนี่ยเป็นเรื่องของเรา ราคะ โทสะ โมหะ มันเป็นเรื่องของเรา ที่จะรับ ที่จะห้ำหั่นกับมัน ปฏิบัติจริงจัง เอาจริงเอาจังกับมันแล้ว มันว่ากลัวเราเหมือนกัน กลัวจะสลัดทิ้งเขาไป ไม่ตั้งอยู่ในกิเลสเหล่านั้น ความโลภมีเราก็ไม่ประพฤติตามมัน ความโกรธมีเราก็ไม่ปฏิบัติตามมัน ความหลงมีก็ไม่เชื่อ ความหลงนั้นเป็นอันขาด ตั้งอกตั้งใจงดเว้น ละ พยายามละ และก็วางให้ได้ ให้หยุด จากกิเลสทั้งหลาย ทั้งปวงซะ ถ้าเราตั้งใจอย่างงั้น มันก็จะหลุดไปเองทีละน้อยๆ เอาไปเอามาจนกิเลสหมดแล้ว
ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ
ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง
เพราะเราไม่ทำตามมัน ทำการ ทำตามความปรุงแต่งเหล่านั้น เรียกว่าตามกิเลสตัวเองไป เมื่อไหร่ล่ะมันจะสิ้นอาสวะ สิ้นกิเลส ถ้าเรายังตามใจมันอยู่ มันจะสิ้นได้ยังไง ต้องต่อต้านเด้ ต่อต้านอย่างเข้มข้นเหมือนกัน
แม้โจรผู้ร้าย มันฮึกเหิมมารุกรานบ้านเมืองของเรา ถ้าเราตั้งใจจริงๆ แล้ว โจรผู้ร้ายก็หมดความสามารถเหมือนกัน ไม่สามารถจะรุก รบกวนชาวบ้านชาวเมืองได้อีกแล้วโจรทั้งหลาย ได้แต่คนดีๆ อืม อย่างพวกเรามาในที่นี่ทั้งหมด มีแต่คนดีๆ ทั้งนั้น ไม่มีผู้ร้าย ไอ้โจรที่ไหน ไม่มีเจตนาที่จะฉก ที่จะลักของคนโน้นคนนี้ไม่มีเลย เจตนาอย่างงั้นไม่มี ความโลภ ความโกรธความหลงเหล่านั้น จะมา
ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก
ได้ยังไง เพราะเราตั้งใจแล้ว อย่ามายุ่ง เออ เพราะว่า เขาว่าภาษาหนึ่ง อย่ามายุ่งน่ะ เวลานี้เราไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เออ เรื่องโลกก็ดี เรื่องศีลธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ดี เราไม่เล่นด้วย
ไม่ฉก ไม่ลัก ไม่ปล้น ไม่จี้ ไม่โป้ปดมดเท็จผู้ใดเลย
เรางดเว้นจริงๆ แล้วกิเลสมันจะมาอยู่ไหนปะเนี่ย กิเลสมันก็หนีจากเราไป เราก็เป็นคนสบายเอง ถ้ารักษาได้แล้วสบายเอง สบายตัวเอง ในครอบครัวของเราก็สงบสุข ไม่เดือดร้อน เหตุที่มันเดือดร้อนอยู่ ก็เพราะลุอำนาจแก่ความโลภ ลุอำนาจแก่ความโกรธ ลุอำนาจแก่ความหลง
หลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี
หลงหาทั้งตาปี ไม่รู้เบื่อเชื่อตัณหา
หลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี
หลงรัก (หลง)จูบ (หลง)กอด ตาบอด ใจบ้า
เป็นข้าความรัก เหนื่อยหนักไม่รู้ อดสู้เสียเปล่า
อย่าเดาผิดๆ อย่าคิดเบียดกัน อย่าดันทุรัง
ให้ห้ามปรามตัวเองไว้บ้าง เวลามันโกรธ มันโกรธที่ไหนอ่ะ เกิดที่ใจเราน่ะ โกรธขึ้นมาแล้วไปตาม ทำตามอำนาจของความโกรธแล้วมันจะเป็นยังไง จะพัลวันพัลเกกันหรือเปล่า วุ่นวายหรือเปล่า ในครอบครัวของเรา ถ้าไปลุอำนาจแก่ความโกรธ ไม่ดีเลย เป็นโทษ แล้วลุอำนาจแก่ความหลง
หลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี
หลงหาทั้งตาปี ไม่รู้เบื่อเชื่อตัณหา
หลง รักๆ จูบๆ กอดๆ ตาบอด ใจบ้า
เป็นข้าความรัก เหนื่อยหนักไม่รู้ อดสู้เสียเปล่า
อย่าเดาผิดๆ อย่าคิดเบียนกัน เบียดเบียนกัน อย่าดันทุรัง
ฟังคำพระ เพิ่นสอน ระลึกได้พระ... พระท่านมาสอนก็สอนให้เราเลิกจากความโลภ ความโกธร ความหลงนี่แหละ ท่านจะมาจากเทวโลกไหนก็ตาม ก็มาสอนให้เราละ ระวังอย่างนี้ เออ ระวังได้แล้วเจ้าข้า สมาทานออกมาดูสิ ว่าดูสิ ข้าพเจ้าละได้แล้วของเหล่านี้ ของเป็นกิเลสทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ไม่ลุแก่อำนาจ แก่มันแล้ว มันก็ยุเราไม่ได้ ละอายเรามันก็หนีจากเราไป ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ มันหนีจากเราไปแล้ว เราสบาย อยู่อย่างสบาย กินสบาย นั่งสบาย นอนสบาย
ตัวอย่างก็มีอยู่ถมไป ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เป็นผู้หญิงก็เสียสละ โลกีย์ทางโลกได้ ได้เป็นภิกษุณี
ตัดกิเลสตาย คายกิเลสหลุด
ถึงวิมุตติ มรรคผล นิพพาน
ไปก็เยอะแยะ เออ นั่น ท่านเอาจริงเอาจังกับมัน เลิกละจากกิเลสทั้งหลายซะ ราคะ โทสะ โมหะ มันก็อายใจแก่ เออ ละอายใจเอง หดหายไปเอง ไม่มีอำนาจที่ได้ลุแก่ความนึกคิด ลุอำนาจแก่มัน มันก็ยอมแพ้เหมือนกัน ความโลภ ความโกรธ ความหลงเหล่านี้ มันเป็นกิเลส
มันทำให้ไปเกิดเหตุทะเลาะ วิวาทบาดถลุง ซึ่งกันและกัน ตีกันหัวร้างข้างแตกก็มี ฉวยได้ไม้ก็ตีไป ฉวยได้มีดก็ตีไป ฟันไป ถ้าไปลุอำนาจแก่ความโกรธ ความโลภ ความหลงทุกครั้ง เราจะอยู่เป็นสุขได้ยังไง เราจะอยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร่วมกันอย่างสงบ มีสันติสุขในหัวใจของเรา สบายมาก นอนก็สบาย นั่งก็สบาย ไม่มีใครมารบกวนราวีเราได้เลย เรามีศีล เรามีธรรม คุณพระ คุณเจ้าเพิ่นดูแลอยู่ อย่าไปแตะต้องมัน อย่าไปแหยมกับมัน อ้า
คนคนนั้นเขาเลิกแล้ว เขาละแล้ว เขาละจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรัก ความชัง เขาก็ละหมดแล้ว อย่าไปยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตกเป็นอันขาด อ้า ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ท่านจะสอนกันอย่างนี้ ให้อยู่ในความสงบเสมอๆ ใครล่ะจะมายุให้เราโกรธ ใครล่ะจะยุให้เราโลภ ใครล่ะจะมายุให้เราหลง
หลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี
หลงหาทางตาปี ไม่รู้เบื่อเชื่อตัณหาตัวเอง
หลงรัก (หลง)จูบ (หลง)กอด ตาบอด ใจบ้า
เป็นข้าความรัก เหนื่อยหนักไม่รู้ อดสู้เสียเปล่า
อย่าเดาผิดๆ อย่าคิดเบียนกัน อย่าดันทุรังกัน
ว่าแล้ว ก็ยอมแล้ว ยอมแล้ว อ้า ไม่ว่าอีกแล้ว คำคำนี้ หลวงปู่ได้สอนไว้แล้ว เพิ่นไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง แข่งดีกันไม่มี มีแต่ความสงบสุข นั่งเป็นสุข นอนเป็นสุข หลับก็ฝันดีซะด้วย อ้า เพราะว่าเราถูกต้องปรองดองกัน อยู่ในสนับบังคับ ข้อคำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเพิ่นมา พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ มาตรัสรู้ขึ้นในโลก ท่านก็มาบอกแนะนำให้พุทธบริษัท บริษัท
อย่ามายุให้รำ อย่ามาตำให้รั่ว อย่ามายั่วให้แตก
อย่าให้เกิดแตกแยกขาดจากกัน อย่าดันทุรัง
ว่าแล้วก็สาธุ ถ้ามีผู้มาเตือนก็สาธุ เออ ดีมากๆ กลัวว่ามัน
จะหลงรัก หลงใคร่ หลงอยากได้ หลงยินดี
หลงหาทั้งตาปี ไม่รู้เบื่อเชื่อตัณหา
หลงหลายอย่าง ตามืดตามัว ก็เพราะความหลงนั่นแหละ ถ้าเราตั้งใจมั่นแล้วก็ เออ เด็ดขาด มีความเด็ดขาดอยู่ในตัว แล้วก็เป็นอำนาจอันหนึ่ง เออ เป็นอำนาจในตัวเอง ว่ากิเลสจะชนิดนี้จะมายั่วยุให้เรา เกิดทะเลาะวิวาทบาดถลุงกันเท่านั้น เมื่อยั่วให้เต็มที่แล้ว ตีกันหัวร้างข้างแตกไปแล้ว มันก็อ่อนแรงไปเองปะเนี่ย มันไม่ยุอีกต่อไป อ่อนแรงลงไปๆ เพราะตัวเองก็มีอำนาจ มีอำนาจขึ้นมารักษาตัวเองได้ ไม่ให้ลุอำนาจแก่ความโลภ ความโกรธ ความหลงต่างๆ ไม่ให้มายุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก แยกให้ออก จากกัน หนีจากกัน เตลิดเปิดเปิงไปที่ไหน เมื่อมันคิดถึงกันมากก็ โอ้ย จึงเรื่องยุ่งยากขึ้นมา คิดถึงกันแล้ว แน่ะ ทำยังไงจะแสล๋นหน้าไปหาใคร ไปขอคืนดีกับเขา ก็หาเขาอยู่ เรียกว่าแพ้แล้ว ยอมแพ้แล้ว ไปขอคืนดีเขา เมตตาปรานีเขาก็อนุโลม คืนดีให้ ไม่ให้พูดอย่างนั้น ไม่ให้ทำอย่างนี้ต่อไป ถ้าจะมาคืน มาอยู่ด้วยกันด้วยความสงบจริงๆ ยินดีต้อนรับ ถ้าจะมายุให้รำ ตำให้รั่ว ยุให้แตก แยกให้ออก เหมือนอย่างแต่เก่าแต่ก่อนน่ะ ไม่เอาๆ อย่างงั้นไม่เอา หาความสงบสุขไม่มีเลย นี่ความประสงค์ของคำสอนที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ สอนไว้ให้พวกเราอย่าไปลุอำนาจแก่ความโกรธ อย่าไปลุอำนาจแก่ความหลง อย่าไปลุอำนาจแก่ความมักง่าย
อย่ากินสมอยาก อย่าปากสมเคียด(โกรธ) สมโกรธ
ไวปากเสียศีล ไวตีนตกต้นไม้
เพิ่นว่า มันแตกแยกกันไปหลายคู่แล้ว หนีจากกันโดยไม่ต้องห่วงใยกันเลย อ้า มันไม่ดี ไม่ใช่บ้านของเรานี้หรอก ทางอื่นโน้นมี มันยุให้รำ มันตำให้รั่ว มันยั่วให้แตก มันเป็นการแยกออกจากกันในตัว เป็นการแยกออกจากกันในตัว อยู่คนเดียวดีกว่า มี ๒ แล้วก็ทำให้พลั้งเผลอพูดจาไม่ดิบไม่ดีขึ้นมา เป็นโทษแก่ตัวเองอีก เออ เพราะฉะนั้น อย่าลุอำนาจแก่ความโลภ แก่ความโกรธ แก่ความหลง ราคะ โทสะ โมหะ มันมีอำนาจเหนือโลกนะ เหนือโลก ที่รบราฆ่าฟันกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความโกรธ อาฆาตมาดร้ายซึ่งกันและกัน ก็เป็นเหตุให้ระส่ำระสาย ไม่สงบสุขได้
เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเราเอาจริงเอาจังกับมัน เอากับความโลภ ความโกรธ ความหลงเหล่านี้ เอากับมัน มันจะมายุให้เราไปถึงไหน แล้วตั้งแต่เกิดมานี่ โกรธกันแล้วกี่ครั้งแล้ว ทะเลาะกันกี่ครั้งแล้ว อ้า หนีจากกันไป เออ ทำใบหย่าใบเหย่อกันอย่างดี แต่ว่าเมื่อมันใจดีขึ้นมา คิดถึงกัน แล้วก็ขอคืน ขอคืนดี บัดนี้ เฒ่าแก่ทั้งหลาย ท่านแข็งตัว เอาเฒ่าแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ พี่น้อง ผู้หลักผู้ใหญ่ มาเป็นพยาน เจ้าภาพมาขอคืนดี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน มันเคยตัว ไม่ได้ปรับได้ไหมหรอก อย่าให้เป็นอย่างนี้อีกเป็นอันขาด อย่าให้เกิดแตกร้าวกันสามัคคีกัน อย่างนี้อีกเป็นอันขาด เออ คราวนี้ปรับซะก่อน ปรับเท่าตัวราคาที่แต่งกันมา ตั้งแต่ต้น เป็นเงินสินสอดเท่าไหร่ นั่นปรับแค่นั้นล่ะ ไม่ได้ปรับมากหรอก ปรับไหมให้เข็ด ให้หลาบ
ไม่ใช่อื่นไกลหรอกอันนี้ พี่เขยของหลวงปู่เอง อ้า ได้ลูกด้วยกันแล้ว คนหนึ่งแล้ว เอาไงทีนี่ เป็นเชือกผูกมัดอันหนึ่ง มันนั้นก็ยอมหมอบราบคาบหญ้า ยอมขอขมาลาโทษ ผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้เป็นเจ้าโคตร อ้า เป็นตา เป็นยายก็ดี ขอขมาลาโทษ ยอมรับสภาพคาบหญ้า ไม่ได้ยอมธรรมดา ยอมหมอบราบคาบหญ้า อยากได้เงินเพิ่มพูนไปเท่าไหร่ ก็จะหามาให้ตามเฒ่าแก่ต้องการ เออ ผู้หลักผู้ใหญ่ เพิ่นต้องการอยากได้ค่าสินไหม สินไหมค่า ค่าเลี้ยงลูก เลี้ยงเมียไว้คอย เออ ไม่ให้เป็นอย่างงั้นอีกต่อไป ยอม ยอมแพ้ จนมาอยู่กับแม่ใหม่นี่ จนแม่ใหม่ตายก่อน เว้ย แม่ เมียตายซะก่อน ร้องห่มร้องไห้ตามกันเป็นพัลวัน เออ จนใจจะขาดนู้นล่ะ เออ เสียดายกัน ร้องไห้ใส่กัน
ทำยังไงมันเป็นอย่างงั้น มันของ เออ โรคปัจจุบัน ไม่ได้เป็นโรคอะไรหรอก โรคปัจจุบัน โรคความโกรธ ก่อความทะเลาะวิวาทบาดถลุงกันขึ้นมา และก็เกิดโรคหัวใจ เออ โลหิตฝอยแตกในสมอง หมอก็เอาไม่ทัน เลยตายทิ้งเฉยๆ อันนี้ก็ได้ลงไปเผาด้วยกันเหมือนกันล่ะ ไปลงไปเผาให้ ปีนั้นเราได้ ๒๕ พรรษา เออ ไปเผาพี่สาวที่มันโลหิตฝอยแตก แต่ว่าความเห็นของเขาว่าผี ผีตนนั้น ผีตนนี้ มาทำ มาทำให้ อ้า เกิดอย่างนี้ อย่าไปพูด อย่าไปพูดอย่างงั้นนะ
อันนี้โรคชนิดนี้ มันมีกันอยู่ทุกโรงพยาบาล เรื่องโรคโลหิตฝอยแตก เอาไม่อยู่ แตกแล้วก็มันออกมาทางปากบ้าง ออกมาทางจมูกบ้าง ไหลออกมา โลหิตแตกในสมอง เอาไม่อยู่ อย่าไปโทษหรอก ผีตนนั้นมาทำ ผีตนนี้มาทำ อย่าไปโทษเขา โทษตัวของเราเอง เราใช้ความโมโหโกรธา มากมายก่ายกอง อดกลั้นไม่อยู่ ทำให้ปรุงแต่งมากมาย ถ้าเกิดโลหิตฝอยแตกขึ้นมาปัจจุบัน และเอาเข้าโรงพยาบาลไม่ทัน หมดลมซะแล้ว ตายซะแล้ว อันนี้เอามาเป็นตัวอย่างให้ได้ อ้า ความโกรธรุนแรงมากเกินไป ก็ทำให้โลหิตฝอยแตก อ้า โกรธมากก็ไม่ดี ถ้าไปฟังความมัน ฟังความเก่า ฟังความก้ำ(ข้าง) ขาเดียวดูถูก บ่แม่น คิดให้ทั่วๆ ซะก่อน คิดให้ทั่วๆ คิดให้ละเอียดซะก่อน มันไม่ใช่ แต่ว่าความโกรธ โมโหโกรธา ถ้าโกรธจัดๆ แล้วก็โลหิตฝอยแตกในมันสมอง หรือว่าในที่ใดที่หนึ่ง แตกแล้วก็เยียวยาไม่ทัน เอายาที่ไหนมาช่วยก็ไม่ทัน เออ เพราะว่าโลหิตมันแตกออกไปแล้ว มันออกมาทางจมูก ออกมาทางปาก แดงหล้าออกมา มาอุดตันส่วนที่มันใช้ได้อยู่แต่ก่อน มันไม่หยุดเด้ปะเนี่ย เพราะฉะนั้นน่ะ ความโลภย่อมเป็นภัย ความโกรธก็เป็นภัย ความหลงก็เป็นภัย ความโลภ โกรธ หลงเหล่านี้ มันยุให้รำ มันตำให้รั่ว มันยั่วให้แตก มันแยกให้ออก ไม่สาใจของมัน มันดันเข้าใหญ่ ดันลงไป ความดันในตัว จนโลหิตฝอยแตกในสมอง อ้า ก็พาให้เป็นคนอายุสั้นพลันตาย อย่าไปบ่น
ว่าผีตนนั้นมาทำ ผีตนนี้มาทำ จึงทำให้แตกขนาดนี้ มันไม่ใช่ๆ จะไปโทษเขาอย่างงั้นไม่ได้เพราะว่าตัวของเราเป็นโรคประจำในตัวเราแล้ว มันก็เกิดความดันขึ้นมาอย่างรุนแรง เออ โลหิตก็ทนไม่ไหวก็มันแตกซะ อ้า โลหิตฝอยแตกในสมอง ในเส้นเลือด ในหัวใจ อ้า มันเป็นไปได้ มืดตึบเดียวเท่านั้นล่ะ ไปเลย แอ้
เพราะฉะนั้น ก็อย่าฟังความยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก อย่าไปฟังคำมัน ทำยังไงใจเย็น เคยอยู่ยังไงด้วยกันมา ได้รับความสุข ความสบายยังไง ก็อยู่อย่างงั้นแหละ ขอให้อยู่ด้วยความสันติ สันติสงบสุข อยู่ด้วยความสงบสุข ไม่มีเรื่องแตกร้าวสามัคคี ทำให้ขุ่นข้องหมองใจอย่างนั้น ไม่ๆ ไม่ดี ทำให้โลหิตสู้ไม่ไหว ความโกธรมาก โลหิตฝอยก็แตกได้ อ่ะ โมโหโกรธาหลาย ก็โลหิตฝอยแตกในสมองได้ เออ แตกแล้วก็หมอเอาไม่ทัน หมอรักษาไม่ทัน มันแตกแล้ว มันหมดแล้ว มันรั่วไปหมดแล้วถัง ถัง ถังน้ำอยู่ในหัวใจน่ะ หัวใจเป็นถังน้ำใหญ่สำหรับรักษา แล้วก็ส่งโลหิตไปเลี้ยงร่างกายในที่นั้นๆ มันจะเอาเนื้อเอาหนังมาทำเป็นหัวใจ เอามาทำเป็นเส้น เป็นเอ็น โลหิต ถ้าไปดันกันจนเกินไป ก็ทำให้โลหิตแตกได้ แล้วก็ตายได้ แอ้ ดังนี้เป็นตัวอย่าง อันนี้พูดมาให้ทุกคน ถ้าไปใช้ความโกรธมากเกินไป ความโกรธก็เป็นอันตรายแก่ตัวเอง แก่สังคม ได้เดือดร้อนไปถึงผู้อื่นด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จงทำความโกรธให้เบาลง เออ
โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ
แอ้ ความโกรธเป็นกิเลสอย่างหยาบเหมือนกัน หนักหนาสาโหดเหมือนกัน ทำให้ตัวเองตายได้เหมือนกัน โลหิตทุกส่วน มันอุดตันได้ แล้วก็มันไม่มีทางไปมันก็แตกดันออกมา ก็แตก โลหิตแตกแล้วทำยังไงปะเนี่ย ความรู้ก็มืดตึบเลย มืด มืดมิดปิดปัญญา ไม่ นึกอะไรไม่ออก แล้วมีแต่ความตายเท่านั้นมาเยือน มาเยือนแล้วทิ้งร่างกายไว้ ให้เป็นธุระ ภาระของพี่น้องทั้งหลาย พ่อแม่ทั้งหลาย ผู้อยู่เบื้องหลังที่จะจัดการให้ เพราะฉะนั้น อย่าพากันลุความโลภ ลุอำนาจความโกรธ ลุอำนาจความโมโหโกรธาจนเกินไป เพราะว่าของเหล่านี้มันทำให้โลหิตแตกได้
(หลวงปู่ ไอ บ้วนเสมหะ)
เนี่ยสมมติว่า อันนี้มันเป็น อะไร ติดคอ
อ่ะ ปล่อยลงทิ้ง ทิ้งลงในนั้นล่ะ อ้า
อันนี้มันเป็นประจำของเราหรอก เสลดในลำคอ มันมีที่บ่อเกิดของน้ำลาย เออ น้ำลายเกิดขึ้นมา มันก็มาอุดตัน เส้นโลหิตของเรา อ้า ให้หายใจก็ไม่อิ่ม ก็สะเดิด(สะดุ้ง)สะเดอ ไปอย่างงั้นน่ะ เออ ความตายนี้แขวนคอทุกบาดย่าง ถ้าฟังความก้ำ(ข้าง) ขาเดียวดูถูก บ่แม่นเด้ อย่าไปดูถูกมัน มันเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ อ่ะ เพราะฉะนั้น ธรรมที่แสดงมาเรื่องพระ
ไตรสรณคมน์
พุทโธ ธัมโม สังโฆ
พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
เรายึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ ที่พึ่งทางใจ ที่จะให้กิเลสมันสงบระงับไปได้ ด้วยการทำความเพียร ทำภาวนา พากเพียรภาวนา ให้มันผ่อนผันสั้นยาวเอาไว้ อ้า อย่าให้มันรุนแรงจนถึงโลหิตฝอยแตกในสมอง เคยมีไหมบ้าง บ้านเรา มันความโกรธ มันเกิดขึ้นแล้วรั้งไว้ไม่อยู่ รั้งไม่อยู่ก็ อืม ก็ถึงออกโคตร ออกเชื้อ ด่าพ่อ ด่าพ่อด่าแม่ โคตรพ่อโคตรแม่ไปถึงโน่น มันถึงขีดแดงขึ้นมาความโกรธ มันถึงขีดแดงขึ้นมา เอาไว้ไม่อยู่ จนโลหิตแตกในสมอง แตกในหัวใจ อันนี้ก็เป็นเหตุให้เป็นถึงแก่ความตายได้ เพราะฉะนั้น อย่าเข้าใจว่า ผีทางอื่นมาทำ ผีฟ้า ผีแถน ผีแนนตาทอก ตีนจุ้มอลินทุม มากระทำให้ถึงกับความตายเกิดขึ้น อย่างนี้ไม่ถูก ตัวเองนั่นแหละปรุงขึ้นมา ตัวเองนั่นแหละแต่งขึ้นมา แต่งความโกรธให้เอาชนะผู้อื่นได้ ด่าให้เจ็บๆ ด่าให้แสบๆ สาใจตัวเอง ถ้าได้ด่าให้เจ็บ ให้แสบสาใจ แล้วก็ว่ามันหยุดแค่นั้น ไม่ใช่ มันก็เดือดร้อนตัวเอง จึงมีโรคอยู่ในหัวใจเราแล้ว โรคอยู่ในหัวใจเรานี่แหละ ถ้าความโกรธจัดๆ อันนั้นล่ะจะพาให้เส้นโลหิตแตก แตกแล้วก็จะเป็นยังไง แตกแล้วมันก็เอาไว้ไม่อยู่ มันรั่ว มันรั่วแล้วมันก็ไหลออกมาอุดตัน สายโลหิตต่างๆ ทำให้ตายได้
เพราะฉะนั้น อย่าไปเอามันมาเป็นหัวหน้าใจเลย ความโกรธก็ดี ความโลภก็ดี ความหลงก็ดี ของเหล่านั้นเป็นของมา ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตกได้ เออ แล้วเกิดแอคซิเด็น(accident อุบัติเหตุ เรื่องไม่คาดคิด) เขาเผื่อว่า แอคซิเด็น(accident อุบัติเหตุ เรื่องไม่คาดคิด)ขึ้นมา โลหิตแตก ตายกะทันหันอย่างนี้ก็มี เห็นเป็นตัวอย่างมาหลายรายแล้ว อ้า เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ ความหลง ย่ำยีหัวใจตัวเองมากเกินไป เออ ถ้าให้มันย่ำยีก็สาใจ ให้สาใจ ได้พูดไปแล้วสาใจ ได้ด่ากันไปแล้วสาใจ เอ้า สาใจ สมน้ำหน้า แน่ะ เห็นว่าคนอื่นแพ้เราแล้วก็ ย่ำยีใหญ่ เออ ได้โอกาสก็กัดไม่วาง กัดไม่วาง ไม่ปล่อย ได้คาบกัดแล้วไม่ปล่อย ไม่วาง เอาจนตายคามือเลย เออ เพราะฉะนั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นกิเลส เฉพาะตัวใครตัวมัน เกิดขึ้นที่ตัวเราเอง แล้วก็ทำลายตัวเองอย่างเห็นได้ชัด อย่างเกิดโลหิตฝอยแตก ในหัวใจก็มี แตกในสมองก็มี ได้ผ่าปัจจุบันทันด่วน ผ่าสมองปัจจุบันทันด่วน ถ้าหมอเก่งแท้ก็เอาไว้ทัน อาจจะดูดที่มาอุดตันโลหิตอื่นต่อไปได้ ทำให้สว่างไสวขึ้นมา นึกอะไรขึ้นมา แต่ปานนั้นมันก็สะลึมสะลือน่ะ ถ้ามันได้งงขึ้นมา แล้วมันสะลึมสะลือ นึกอะไรไม่ออก ความรู้ที่มีอยู่มืดมิด ปิดปัญญา มันมืดมิด ปิดปัญญาเรา เอาพุทโธดีกว่า เอาภาวนา พุท โธ ดีกว่า ถ้ามันเป็นอย่างั้น เกิดอาการอย่างงั้น เอาๆ เอาลมหายใจเรามาดู กับลมหายใจเรา
หายใจเข้าเป็น พุท
หายใจออกระลึก โธ
หายใจยาวๆ ไป
อย่าให้มันอัดอั้นตันใจ อยู่กับพุทโธนั้น จนสงบระงับ แล้วก็จะได้รับความสงบสุขเฉพาะตัวเอง ผู้อื่นไม่รู้หรอก เรารู้ตัวเอง อ้าว อันนี้มันเป็นโรคร้ายชนิดหนึ่ง ทำให้ปวดหัวอย่างแรง เส้นโลหิตแตกในสมอง ก็เป็นอันตรายแน่นอน หากเราระลึกได้อย่างนี้ อย่าไปลุอำนาจแก่มัน แก่กิเลสชนิดต่างๆ เหล่านั้น ให้สงบระงับเอาไว้
นัตถิ สันติปะรัง สุขัง
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี สุขใดๆ ในโลกนี้ สุขอื่นจะดีกว่าความสงบไม่ได้ ถ้าหากปล่อยให้มันกำเริบเสิบสาน จนมีอาการคั่งในตัวโลหิตฝอยจะแตก เออ ให้ ให้ระลึกไว้ ที่ โรงพยาบาลนี่ก็มี หลายเรื่อง หลายราวที่มันเกิดปัจจุบันทันด่วนขึ้นมา หมอเอาไว้ไม่ทัน เออ ก็เลยแตกตูมตาย เออ อืม ใจแตกตูมตาย เออ
พรหมณ์ ชูชก ไปขอนางมัทรี ขอกัณหาชาลีได้แล้ว ก็เอากลับบ้านโดยเร็ว เอากลับบ้านตัวเอง เพราะว่าได้คนใช้แล้ว จะให้นางอมิตตดาได้รักตัวเองต่อไป เพราะได้คนใช้มาให้แล้ว แต่ว่าเทวดานี้ดูแลรักษา ไม่ให้ไปถึงบ้านซะแล้ว ให้มากลับกิ่งไม้กิ่งนั้น มันที่ชี้ไปที่ ที่เมือง เออ ของชูชก กลับกิ่งไม้ให้หันไปทางเมืองเชตุดร โน้น เมืองเชตุดรเนี่ยเมืองกรุงสญชัย ปู่ พระเจ้าปู่อยู่เมืองโน้น เอาไปแล้วพระเจ้าปู่ก็จะดูแล รู้จักหรอก เอาไปส่งเมื่องนี้ซะก่อน ไปแล้ว ยักแย่ยักยันไปเรื่อยๆ เข้าใจว่าไปถูกทาง ที่จริงมันเข้าไปเชตุดรนู้น
เพิ่นเชื่อหมอ เพิ่นก็เชื่อคำหมอ นักพยากรณ์ เออ ถ้าได้ฝันอย่างนี้ พรุ่งนี้เช้าให้พาคนคอยลัดทาง ดูกัณหาชาลี เขาขอได้แล้ว เขาจูงยักแย่ยักยัน มาผิดทาง มาเข้ากรุงสญชัยนี่ซะ อืม ได้เห็นมาจริงๆ โอ้ย นั่น มาแล้วๆๆ เห็นมาแล้ว เออ เขาไปลัดทางมาก็ เฮ้ย นี่ตาแก่ นาย เออ พราหมณ์เอย ตาแก่ไปลักลูกขโมยเขา เขามายังไง ไปเอาลูกเขามายังไง เนี่ยลูกเขานะเนี่ย อ้า หลานพระเจ้ากรุงสญชัยนะ ไปลักเอามาได้ยังไง ไม่ได้ลัก ข้าพเจ้าไปขอเอากับมือ พอไปถึงหน่อย เพิ่นเมตตาให้ลูกทั้ง ๒ คนมาเพื่อมาเป็นข้าทาสบริวาร รับใช้นางอมิตตดา จำนอง เออ ถ้างั้นมาตรค่าไม่เท่าไหร่ เวสสันดรมาตรค่าราคาไว้เท่าไหร่ ที่ให้หลานหนีมา ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ วัวอุสุ(ภราช) วัวอุสุภราชก็ ๑๐๐ เอามาถ่าย จึงจะได้เป็นไท ถ้าอย่างงั้นก็เป็นทาสเขาอยู่อย่างงั้นล่ะ เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ตกลง โอเค อยากจะได้วัวเท่าไหร่ ช้างเท่าไหร่ ควายเท่าไหร่ ช้างเท่าไหร่ ม้าเท่าไหร่ เราให้หาให้ได้ โอเค ตกลง ก็มาเลี้ยงพราหมณ์นั่นซะ เลี้ยงเต็มที่ เออ พราหมณ์ก็หิวมาตั้งหลายวัน หลายเดือนแล้ว หิว หิวมาก ปะเนี่ยก็มาจับ เห็นอาหารเยอะแยะ กินเอาอย่างสาใจ เก็บขาหมูใส่ลี่ล้ายลี่ล้าย เก็บขาไก่ใส่ลี่ลังลี่ลัง แซบ(อร่อย) อะไรก็แซบ(อร่อย)หลาย อาหารแซบ(อร่อย)ซ้อย กินแต่น้อยก็อิ่มหลาย บ่หายอย่างงั้น เก็บใส่จนสาใจ กินลงไปๆ หายใจก็ไม่ออกปะเนี่ย ท้องพังก็แตกตูมตาย หงายข้างอยู่จาดดาด(เฉียดๆ) ในข้างประสาทเมืองแก้วมาเซไซ อันนี้เป็นภาษาเมืองลาว เขาเอาไปเทศน์กันอยู่ เทศน์พระเวสสันดร โอ้ ตายเพราะความกินมาก กินหลาย กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่พอใจ กลืนเข้าไปก็ไม่พอใจ กระเพาะมันขยายตัวไม่ทัน ท้องก็ไข่อึ่งลื่งๆ (การขึ้นอืดบวม)ขึ้นมา
ตาเหลือกตาค้างขึ้นมา หน่อยบ่นาน(อีกไม่นาน) ท้องพราหมณ์ก็แตกตูมตาย หงายข้างอยู่จาดดาด(เฉียดๆ) ในข้างประสาทเมืองแก้วมาเซไซ เออ นั่น ถ้ากินมาก
ถ้ากินสมอยาก ปากสมเคียด(โกรธ)
ไวปากเสียศีล ไวตีนตกต้นไม้
(หลวงปู่ ไอ มีเสมหะ)
ให้รั้งไว้บ้าง อย่าให้กินสมอยาก อย่าให้ปากสมโกรธ
มันจะเป็นโทษแก่ตัวเอง ดังนั้น ไม่ให้ปรุง ให้แต่งมันขนาดนั้นล่ะ
(เติมน้ำร้อน ยาแก้ไอ)
นี่อะไร เอายามาอีก เอาๆ บ่แตก บ่ท้อง บ่แตก หวา
อืม อันนี้ว่าความโกรธก็ดี ความโลภก็ดี ความหลงก็ดี ที่มันยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก อย่าไปฟังคำของมันนะ ให้หยุดยั้งไว้ซะก่อน ให้สงบระงับไปซะก่อน จึงค่อยพูดจากันด้วย ด้วยศีล ด้วยธรรม แล้วก็จะค่อยสงบระงับ ไม่ถึงกับท้องแตกตูมตาย เหมือน เออ กรุงสญชัย ก็หรืออย่างพราหมณ์น่ะ
อืม อันนี้เป็นคติไว้สอนคน ในภาคอีสาน มีการแสดงธรรมเทศนา พระเวสสันดรชาดก ตั้งแต่เริ่มต้นมา แต่นางมัทรี กับพระเวสสันดรถูกขับไล่ออกจากบ้าน จากเมือง หนีไปอยู่ป่า ได้โอกาสก็เลยบวชถือศีล พระเวสสันดรเกิดบวชเป็นฤๅษี นางมัทรี ก็บวชเป็นดาบสินี สัญญากันว่าไม่ให้ใกล้กัน อยู่คนละห้อง อยู่คนละกุฏิ อ้า นี่เป็นนิทานชาดก โบร่ำโบราณ แต่ครั้งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นเวสสันดร ตั้งแต่ครั้งโน้น ไปจนตายแล้ว หนีจากนั้นแล้ว หนีไปเกิดอยู่เทวโลก มากลับมาคราวนี้ มาเป็นสีธัต... สิทธัตถะราชกุมาร แล้วเข้าป่าเหมือนกันแหละ เข้าป่าเข้าดงเหมือนกันแหละ จะไปภาวนาในป่า ในเขาที่ไหน ให้กิเลสเบาบางได้ เป็นการ... ตัวเองอยู่พอแรง อืม เอาจนตาย เอาตายสู้ ทำอะไรท่านทำจริง ไม่ได้ทำเล่นๆ เกิดชาติไหน ภพไหนก็ทำจริง กับความต้องการอยากเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งต่อไป เพิ่นเอาจริงเอาจังกับการบำเพ็ญตน เพื่อทรมานกิเลสให้มันเบาบาง ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ ก็ให้มันตายซะในชาตินี้ ก็เลยหนีจากนางพิมพา อ้า ปล่อยให้เลี้ยงลูกกำพร้าอยู่ทางบ้าน ไปขึ้นมาแล้วจึงหนีเลย เนาะ(นะ) อืม เอ้า
เทศน์มาหลายๆ เพื่อต้องการให้ท่านผู้ฟังทั้งหลายได้น้อมนึกเอาพระบรมครูมาเป็นตัวอย่าง เพื่อต้องการขัดเกลาจิตใจของตนให้เบา ให้บางลง ได้ตรัสรู้ เป็นพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณขึ้นในโลก พระโคดมอ่ะน่ะ เป็นพระโคดมบรมครู นั่นเพิ่นเอาจริงเอาจังขนาดนั้นนะ ดังที่แสดงมา เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอสมมติยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
(สาธุ สาธุ สาธุ)
โกธัง ฆัตวา สุขัง เสติ
ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข
นัตถิ สันติปะรัง สุขัง
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
สรณคมน์
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง
ถึงแก่สรณะแล้ว
ทศชาติชาดก
เต ชะ สุ เน มะ ภู จะ นา วิ เว
๑๐ ชาติสุดท้ายก่อนเป็นพระพุทธเจ้า
(เต)พระเตมีย์ผู้ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
(ช)พระมหาชนก ผู้ทรงบำเพ็ญวิริยบารมี
(สุ)สุวรรณสาม ผู้บำเพ็ญเมตตาบารมี
(เน)พระเนมิราช ผู้ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมี
(ม)มโหสถบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมี
(ภู)พระภูริทัต ผู้ทรงบำเพ็ญศีลบารมี
(จ)พระจันทกุมาร ผู้ทรงบำเพ็ญขันติบารมี
(นา)พระนารทะ ผู้ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมี
(วิ)พระวิธูรบัณฑิต ผู้ทรงบำเพ็ญสัจจบารมี
(เว)พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี
สัตสดกมหาทาน [สัด-สะ-ดก-มะ-หา-ทาน]
มหาทานอย่างละ ๑๐๐ จำนวน ๗ หมวด
ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ รถ ๑๐๐ โคนม ๑๐๐
หญิงสาว ๑๐๐ ทาส ๑๐๐ ทาสี ๑๐๐
ฤๅษี [รือ-สี] ฤษี [รึ-สี] นักบวชผู้ชายอยู่ในป่า
ฤษิณี [รึ-สี-นี] นักบวชผู้หญิงอยู่ในป่า
ดาบส [ดา-บด] ชายผู้บำเพ็ญตบะ
ดาบสินี [ดา-บด-สิ-นี] หญิงผู้บำเพ็ญตบะ
๔๙