หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

วันศุกร์ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.๓๐ น.

ณ มูลนิธิบ้านอารีย์

 

แล้วแต่พระคุณเจ้าเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าจงแสดงพระธรรมเทศนา เท่าที่พอพวกข้าพเจ้าจำได้ มาแสดงให้ฟังด้วยเถิด เนี่ยความหมาย ธรรมะที่มีอยู่ในพระคุณเจ้า ได้ดู ได้เห็นสิ่งใดก็นำมากล่าว มาว่า ข้าพเจ้ายินดีที่จะประพฤติปฏิบัติตาม นี่คำอาราธนามีความมุ่งอย่างงั้น มีความหมายอย่างนั้น ที่จะว่าความหมายเทศน์ ฟังเทศน์แล้วกลับไปบ้าน ไปทะเลาะกันกับลูกกับเมีย ไปทะเลาะกันกับลูกกับผัว ไปทะเลาะกันกับพี่กับน้อง ถกเถียงกัน ท้าตบ ท้าทุบตบตีกันต่างๆ นานา เตะกัน สะบั้นหั่นแหลก ถ้วยชามระเนระนาดไป นั้นเรียกว่าไม่รับศีล ไม่รับพระไตรสรณคมน์ให้ครบบริบูรณ์ บกพร่องไปแล้ว ถ้าเราจะฟังเทศน์ เอาความคิดให้ถูกต้อง อะไรก็ตาม... ความคิดที่ผิดพลาดไป อย่าเอามาคิด อย่าเอามาสนทนากัน เรื่องผิดๆ ต่างๆ นานา ก็จะเกิดพาให้ทะเลาะวิวาทกันขึ้นในสังคมนั้นก็ได้ สิ่งใดที่มันผิดศีล ผิดธรรม อย่าเอามากล่าว กล่าวขึ้นมาก็ผิดหู ผิดหูก็ผิดใจ ผิดใจกันก็ ต่อว่าต่อขานกันขึ้น อันนั้นก็เป็นการทะเลาะเบาะแว้งกัน ฆ่าตีบีฑ์โบยกันได้ ถกเถียงกัน ก็ออกเสียงไม่ดีขึ้นมา ก็ถึงลงโคตรพ่อโคตรแม่กันขึ้นไปโน้นล่ะ อ้า

ป้อย(ด่า)ห่าด่าผี อ้า กล่าวถึง พูดถึงเชื้อ ถึงปู่ ถึงย่า ถึงตา ถึงยายไป มันก็อดไม่อยู่ อดไม่ไหว เอามือตบ พลั่ก กันซะแล้วถ้าพูด ถ้าพูดไปอย่างนั้นก็ตบปากกัน ตีกัน พัลวันพัลเก อ้า ดูเรื่องในละครเนาะ(นะ) ละครในทีวี มีแต่คนเก่ง อ้า ครอบครัวนั้นก็เก่ง ครอบครัวนี้ก็เก่ง ไปสนทนาปราศรัยกันแล้ว ยิ่งมีคู่ครอง คู่รัก คู่ใคร่กันอยู่ แล้วผู้ชายทำท่าทะลึ่ง อ้า ให้เห็นต่อหน้าต่อตา แล้วเกิดเรื่องขึ้นมา ฆ่า ตีกัน ด่ากัน ว่ากัน ตีกัน ตบกัน เรียกว่าหึง หวงกัน แล้วเกิดหวงหึง ผู้ชายก็หึงผู้หญิง ผู้หญิงก็หึงผู้ชาย ก็ไม่ยอมแพ้กันซะที ก็ซัดตีกันจนปากแตก เข้าโรงพยาบาล เป็นเรื่อง เป็นเสียง ถึงโรง ถึงศาลก็มี เนี่ยมันไม่ดี แล้วก็ผิดศีล ผิดธรรมก็ไม่ดี พาให้แตกแยก แตกร้าวสามัคคีกันได้ แล้วความสุขจะมีที่ไหน

 

สีเลนะ สุคะติง ยันติ

สีเลนะ โภคะสัมปะทา

 

จะนำมาซึ่งความมั่งมีศรีสุข มีโภคสมบัติเยอะๆ มีได้ไหม ถ้าทะเลาะเบาะแว้งกันทุกเช้า ทุกเย็น มันร้อน มันเกิดร้อนขึ้น มีปีกบินหนี อ้า มีปีกยังดอกยาก มีหางยังดอกกี่ บินหนีจ้อย ไปแล้วบ่คืนหนา

พวกทรัพย์สมบัติทั้งหลายบินหนี เพราะเจ้าของบ้านไม่เป็นธรรม ทะเลาะวิวาทกัน ด่ากันทั้งเช้า ทั้งเย็น ถกกันทั้งเช้า ทั้งเย็น ตีกันทั้งเช้า ทั้งเย็น หัวร้างข้างแตก แล้ว

 

สีเลนะ โภคะสัมปะทา

 

มันจะอยู่ได้หรือเปล่า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายจะอยู่กับเราหรือเปล่า ถ้าเราทำความเดือดร้อนอย่างงั้น ความเย็นมันจึงอยู่

 

น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย

 

หมายถึงว่า มันร้อน ไอ้ความที่มันร้อนทั้งครอบครัว พ่อแม่ทะเลาะกัน ลูกเต้าก็ทะเลาะกับพ่อกับแม่ อ้า ลูกเขย ลูกสาว หรือคนใช้ทั้งหลายทะเลาะกัน วุ่นวี่วุ่นวาย แล้วเงินทองมันจะไหลมาเทมาหรือเปล่า มันจะไหลเข้ามาหาบ้านนั้นหรือเปล่า ทำมาหากินจะคล่องตัวหรือเปล่า ฝืดเคืองที่สุด เพราะว่าครอบครัวไม่เป็นธรรม ครอบครัวทะเลาะวิวาทบาดถลุงกัน กัดกันเหมือนสุนัข ไม่มีศีลธรรมอะไรเลย ผู้น้อยก็ไม่ยอมผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ไม่เมตตาผู้น้อย ต่างก็ใช้เสียงอาละวาดกันอย่างเต็มที่ อย่างนี้ก็พากันแตกร้าวสามัคคีกัน บรรดาเงินทองที่มีมาได้มา ก็ไหลออก บินหนีลี้บินไป โอ้ย พ่อแม่ทะเลาะกัน ลูกเต้าก็ไม่ฟังความเรา เราจะเก็บกำไปไว้ทำไม เอาไปกินเหล้าดีกว่า เว้ย เอาไปกินเหล้า ไปเที่ยวเตร่เฮฮา เที่ยวผู้หญิงผู้ญาไป อ้า ดีกว่าเว้ย อันนี่เนี่ย มันจะทุกข์ยากลำบากช่างหัวมันเถอะ ปล่อยตามสภาพมัน ก็เลยปล่อยมันทิ้งไป หนีไป ปะ(ปล่อยทิ้ง) ฮ้าง(ทอดทิ้ง) ปะ(ปล่อยทิ้ง)ฮ้าง(ทอดทิ้ง)ยางแขนกัน ทอดทิ้งกันไป ปะ(ปล่อยทิ้ง)ฮ้าง(ทอดทิ้ง)ละเลย ไม่เอาใจใส่ แล้วแต่จะเป็น แล้วแต่จะตาย ปล่อยทิ้งอย่างงั้น ที่เรียกว่า เกิดหย่าร้างกันขึ้นมา เบื่อหน่ายกันขึ้นมา ไม่เอาใจใส่กัน สามีภรรยาก็ไม่เอาใจใส่กัน พ่อแม่กับลูกก็ไม่เอาใจใส่กัน แล้วแต่มันจะเป็นไป เพราะมันทะเลาะ ทะเลาะกันทุกเช้า ทุกเย็น มื้อเช้าก็ทะเลาะ มื้อเย็นก็ทะเลาะ แล้วเงินทองที่มีอยู่ในกระเป๋า มันจะ จะเต็มถุงบ่ มันจะอยู่รอด อยู่เต็มกระเป๋าบ่ ก็ร้อนถึงหมดกระเป๋า จ่ายไม่อั้น กินเหล้าไม่อั้น เล่นการพนันไม่อั้น จ่ายให้ใครต่อใครก็จ่ายไปเรื่อย ไม่ต้องหึง ไม่ต้องห่วง เพราะลูกเมียไม่ดี เพราะลูกไม่ดี พ่อแม่ไม่ดี ก็ทำให้แตกแยกกันได้ เพราะเงินทองมันก็หนีไปตามฟอร์ม แตกแยกกันนั่นแหละ เมื่อแตกแยกกันแล้ว ก็ไม่หึง ไม่หวง ไม่เก็บ ไม่กำ ไม่กอบ ไม่โกย ไม่โกง ไม่กิน ไม่เอาของใครหรอก อ้า แต่ก่อนแต่บัดนี้มันเกิดแตกแยกกันอย่างงั้น เราจะเก็บไปเพื่อใคร เก็บเงิน เก็บทอง เก็บไว้เพื่อใคร เก็บไว้ทำไม ก็เลยไม่หวง ไม่หึง เพราะฉะนั้น ก็เป็นคนยากจนข้นแค้นไปถึงลูก ถึงหลาน ลูกหลานเกิดขึ้นมาที่จะได้ๆ จะพึ่งพาอาศัยใคร ถ้าพ่อแม่แตกร้าวกันแล้ว ผู้ปกครอง ผู้บังคับบัญชาแตกร้าวกันแล้ว เราจะอาศัยใครล่ะปะเนี่ย บรรดาลูกหลานทั้งหลาย ก็เลยขาดการเล่าเรียน ขาดการศึกษา ไม่รับผิดชอบ ไม่รับรู้ไปด้วย เลยเอาใจออกห่าง ตีตัวออกห่าง ทำให้เกิดความละอาย คลายความยินดี ที่จะคิดอยากจะกำ จะกอบ จะโกยไว้ให้ลูก ให้หลานไม่มีแล้ว เพราะว่าทะเลาะกันแล้ว ไม่มีความจริงใจ อาลัยไยดี กับลูก กับหลานแล้ว แล้วแต่ ปล่อยไปเป็นลูกหมู ลูกคนไปเรื่อยๆ กับ แล้วแต่มันจะเป็น ผู้ใหญ่ก็กลายเป็นเด็ก ขยะสังคมไปเยอะ เป็นขยะสังคม เพราะพ่อแม่ทอดทิ้ง ไม่เอาใจใส่ ไม่ดู ไม่แล ปล่อยให้เป็นคน คนขอทาน เป็นไปเป็นคนลักเล็กขโมยน้อยไปเรื่อยๆ นอกจากมันจะหากินเอาเอง เพราะว่าพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ ทอดทิ้งนิ่งดูดาย ไม่ดู ไม่แล ไม่สั่ง ไม่สอนกันแล้ว ฮ้าง(ทอดทิ้ง)แล้ว ปล่อยแล้ว ทำนองนี้มันก็ไม่ดี

เพราะฉะนั้น เรื่องศีลธรรมที่กล่าวมานั้น มีประโยชน์ต่อสังคมมาก พ่อแม่ก็มีความรักลูกน้อยๆ แต่เมื่อพ่อแม่ถูกต้องกันดี ไม่ทะเลาะกันให้ลูกรู้ ไม่ด่า ไม่ว่ากัน ใจดี ใจเย็น คุยอะไรก็ยิ้มให้กัน ไม่ถมึงทึงใส่กัน ไหม้ตา เออ สบตาหวานใส่กัน ตาเขียวไม่ได้ เป็นคนเย็น ... ไถ่ถามสามัคคีดีต่อกัน เขาว่ายังไง ก็มีกำลังใจ บ้านเมืองของเราจะเจริญรุ่งเรืองได้ ก็เพราะความสามัคคีดีต่อกัน จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง เขาว่าเป็นภาษาเพลงอันหนึ่ง พูดให้ฟัง

รักไทย รักความเป็นไทยของไทย ยิ่งชีวิตจิตใจล้ำเหลือเลือดเนื้อต้องพลี อ่ะ ไอ้ที่ถูกรุกถอยร่นลงเรื่อยไป จนกลายเป็นชาวใต้ได้ไปทุกที

อันนี้ แต่ก่อนบ้านเมืองเราเจริญรุ่งเรือง พี่ป้าน้าอา บ้านนั้น เขาทางนั้น ก็อยู่ร่วมกันอย่างเป็นพี่ เป็นน้อง เอาใจช่วยเหลือกัน ดูแลกัน รักกันมา ถ้าหากเกิดทะเลาะวิวาทกันแล้ว บาดถลุงกันแล้ว ก็เลยไม่เอาใจช่วยกัน ตีตัวออกห่าง ตีตัวออกหนีจากประเทศของตัว หนีไปอยู่ประเทศอื่นทางโน้นดีกว่า ทำนองนี้ นั้นเรียกว่าขาดความกลมเกลียวสามัคคีกัน ขาดความปรองดองกัน นี่พูดเฉพาะในครอบครัว แต่ละครอบครัวก็เหมือนเกี่ยวกัน ถ้าในครอบครัวนั้น ถูกต้องปรองดองกันดี ทั้งพ่อบ้านและแม่บ้านและลูกๆ ทั้งหลาย ถูกต้อง ปรองดอง กลมเกลียว สามัคคีดีต่อกัน แล้วเป็นยังไง มีกำลังใจที่จะหา ที่จะวิ่งเต้น ที่จะขวนขวาย ที่จะลงทุนอะไรต่ออะไร ทุ่มเทได้ทุกอย่าง เพื่อต้องการจะให้มา ได้ของมาเลี้ยงชีวิตและครอบครัวและบริวาร คนใช้ทั้งหลายก็จะได้พักอาศัย ถ้าหากแตกแยกกันแล้ว ไม่มีกำลังใจที่จะหา ไม่มีกำลังใจที่จะวิ่งเต้น เหนื่อย ไม่ หนักไม่เอาเบาไม่สู้ แล้วก็ถอยหลัง ถอยหลังแล้ว ไม่สู้แล้วๆ ถ้าภรรยาสามีไม่ลงรอยกัน ลูกเต้าเห็นพ่อแม่ไม่ลงรอยกัน แล้วก็แตกแยกกัน ออกไปคนละทิศ ละทาง อาศัยไม่ได้แล้วพ่อแม่เรา แตกแยกกันแล้ว อาศัยไม่ได้ การศึกษาเล่าเรียนเลยหยุดชะงัก อืม ไม่เจริญหรอก ไม่ก้าวหน้าต่อ ม.๑ ม.๒ ม.๓ ม.๔ ไป ถ้าหากไปเกิดทะเลาะกันเวลากำลังเล่าเรียนศึกษาอยู่เป็นยังไง เกิดแตกแยกกันในขณะนั้น ลูกก็จะไปคนละทาง ไม่เล่าเรียนศึกษา ขาดโรงเรียน ขาดการศึกษาไป ไม่มีใครความรับผิดชอบที่จะส่ง ช่วยเหลือในการเล่าเรียนศึกษา แล้วแต่ ปล่อยเป็นหมู เป็นวัวไป ลูกก็แตกระทมระทาย ไประเทระทาย ไปกันคนละหนละแห่ง ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาแล้ว ก็เลยเป็นคนเกเร เกกมะเหรก ไปตามเรื่องตามราว ทำมาหากินแล้ว ค่ำไหนนอนนั้น ไปเรื่อยๆ ก็ฉกๆ ก็ลักๆ ก็ขโมยๆ เอาของเขาไป เขาจับได้ไล่ทัน ก็จับไปติดคุก ติดตะราง ลงโทษขั้นอาชญา อาชญากรรมไว้ ก็ไปลักของเขา มีอาชญากรรม เออ แล้วก็ขาดการศึกษาเล่าเรียนต่อ เสียอนาคต อนางอไปเลย นั่น เห็นไหม ความแตกแยกสามัคคีกัน ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้น จงกลมเกลียว สามัคคีดีต่อกัน เราเป็นคนทำมาหาเลี้ยงชีพ อยากมีครอบ อยากมีครัว อยากมีแฟน อยากมีลูกเต้าเกิดขึ้นมา อาศัย พึ่งพาอาศัยเราจึงจะรอด ถ้าไม่อย่างงั้นไปไม่รอด แตกแยกสามัคคีกันในระหว่างกลางคัน ใครจะรับผิดชอบ ใครจะรับผิดชอบให้ศึกษาเล่าเรียนในสถาบันใดๆ ใครเป็นผู้ปกครอง ใครเป็นผู้ดูแล พ่อแม่ ตายาย ทิ้งกันไปแล้ว ไม่มีใครรับผิดชอบ แน่ะ เด็กก็เลยเป็นกำพร้า กำพร้าทางหัวใจ กำพร้าทางผู้อุปการะ ที่จะช่วยเหลือเจือจุน ให้ได้เล่าเรียนศึกษาได้เต็มที่ ก็เป็นคนเกเรเกตุงไป ไม่ ไม่เจริญ ไม่สำเร็จได้ ไม่รู้ การศึกษาไม่จบ ต้องไปทำงาน ก็เป็นคนขาดการศึกษา เล่าเรียนไม่จบ เพราะพ่อแม่ทะเลาะกัน ผู้ปกครองไม่รับผิดชอบ หรือว่าญาติผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่ดูแล ไม่เมตตา ไม่สงเคราะห์ ไม่สงหา ปล่อยทิ้งเหมือนดังหมู ดังวัว เหมือนดังสัตว์ทั้งหลาย แล้วแต่มันจะเป็นไป ทำยังไงก็เรียกว่า ทอดทิ้ง นิ่งดูดาย ใจจืด ใจดำ อำมหิตต่อกัน ไม่เมตตาปรานีอารี(อา)รอบกัน ไม่ช่วยเหลือเจือจุนกัน ก็ปล่อยให้เป็นหมูเป็นวัวไป ก็เป็นภัยสังคมต่อไป อยู่ในบ้าน ในเมืองก็ก่อกวนความสงบ ก่อกวนความสงบของหมู่บ้าน มีการลักเล็ก ลักขโมยน้อย มีการงัดแงะ ใครเผลอที่ไหนก็งัดแงะที่นั้น ขอให้มันได้มาเป็นเงินเป็นทอง แล้วนับที่พอได้เลี้ยงตัวคุ้ม ก็เลยเป็นคน มีโจร มีผู้ร้ายงัดแงะขึ้นมา เพราะว่าขาดผู้ปกครองอบรม ผู้ดูแลตั้งแต่เยาว์วัย ไม่มีใครให้การศึกษาเล่าเรียนใดๆ ส่งให้ศึกษาเล่าเรียนสถาบันใดๆ เขาก็ไม่รับ เพราะว่าไม่มีผู้ส่งรับผิดชอบ ให้ผู้มีรับผิดชอบความประพฤติ ไปฝากเรียนที่ไหนๆ ก็ไม่มี ไม่ยินดีจะรับเท่าไหร่นัก ต้องมีผู้เสียเงินเสียทองรับผิดชอบให้ทุกอย่าง ในการศึกษาเล่าเรียน ถ้าไปเกเรเกตุง ไม่ เป็นคนไม่ดี เกเรเกกมะเหรก เป็นยังไง ช้างเหลือขอ บักกะลอเหลือบ่าว ฮะเฮอะ เออ พาไป มันก็เป็นเรื่องราวต่อกันไป มันเหลือ...เหลือขอ แล้วมันเหลือ ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชานี้ไม่ได้ฟังคำ เพราะว่าฝ่าฝืน พ่อแม่แตกกันเอง ทำให้ลูกเต้าเสียผู้เสียคน เสียอนาคต อนางอไป เสียอนาคต อนางอ เล่าการเรียนศึกษาก็ไม่จบ อ้า พออะไรกับเขา เหมาะอะไรกับเขา ก็เลยเป็นคนไร้การศึกษา เมื่อไร้การศึกษาแล้ว ไม่มีปัญญาที่จะหาทางเจริญใจตัวเองได้ จะไปค้า ไปขายอะไรก็ ไม่มีความคิด ไม่มีปัญญา ไม่มีทุนศึกษาต่อ ทำนองนี้ ก็เป็นคนขาดอุปถัมภ์ ขาดความดูแลรับผิดชอบ อ้า ไม่ดีเลย

เพราะฉะนั้น เราอยู่เป็นครอบ เป็นครัว บ้านเดียวกัน หมู่บ้านเดียวกัน ประเทศเดียวกัน เมืองเดียวกัน เอาใจใส่กัน ดูแลกันเอาไว้ อันนี้ก็เป็นการสงเคราะห์ เป็นการประชาสงเคราะห์ไปในตัว เราช่วยเหลือเจือจุนกัน แบ่งปันกัน ดูแลสารทุกข์สุขดิบกัน ไม่ปล่อยปละละเลย ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย เอาใจใส่กันอย่างนี้ อ้า น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า อัชฌาศัย อาศัยซึ่งกันและกัน เรือก็พึ่งน้ำ ถ้าไม่มีน้ำก็ เรือก็ไปไม่ได้ เสือก็พึ่งป่า ถ้าไม่มีป่า เสือก็อยู่ไม่ได้ เออ บ้านแตกจนสาแหรกขาด เป็นตัวๆ ไปแล้ว ไม่ดี เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ อย่าอยู่ร่วมกันอย่างสัตว์ เห็นกันแล้วก็แยกเขี้ยว แยก แยกปาก แยกฟันใส่กัน จะกัดกันเหมือนหมา จะกัดกัน ตาถลึงใส่กัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ทำนองนี้ หรืออยู่ร่วมกันดีๆ มีความสุข

อ้า เราเห็นในละครที่เขาเล่นทางทีวีหรอก อ้า เห็นกันแล้วก็แยก แยกเขี้ยวยิงฟัน เหมือนจะกัดกัน อ้า ทำตาถลึงใส่กัน เหลียวตาใส่กัน ตาหวานๆ แต่ก่อนหายไปไหนหมด แต่ก่อนเขาพูดกับคู่รักของเขา หวานเยิ้มเหลือเกิน แต่ว่าพูดกับคู่อริกัน ผิดกัน ทะเลาะกันหรอก เหมือนดังจะกินเลือด กินเนื้อล่ะ ถ่างตาใส่กัน ตาขวางใส่กัน เบิ่งตา ถมึงทึงใส่กัน เออ น่ากลัว น่ากลัวจังเวลามันโกรธกัน เอาจริง ทนไม่ไหวก็เอาจริง เข้าฟัดกัน ดึงผมกัน ดึง กระชาก ลากดึงกัน ตีกัน หัวร้างข้างแตก ปากแตก ปากเจ่อไป อ่ะ ถ้าจะหักแตกแยกกันก็ อย่าไปอยู่ด้วยกันดีกว่า อยู่คนละบ้านดีกว่า อย่าไปอยู่ใกล้กัน อย่าเป็นหมู่ เป็นพวกกัน

ถ้าหมู่พวกนักเรียนแต่ละกลุ่ม แต่ละพวก ยกพวกตีกันก็มี โรงเรียนแต่ละโรงเรียนทะเลาะกันเรื่องอะไร เว้ย แย่งคู่รักกัน หรือว่าแย่งอะไรกันก็ไม่รู้ แล้วเห็นกันแล้วเข้ากระชากลากดึงผมกัน ตีกัน จนให้ผู้อื่นมาห้าม แต่ว่าปากเจ่อ ปากเจ่อไป ตีกันตาบวม ตาบูดไป เหล่านี้มันดีที่ไหน มันยิ่งกว่าสัตว์ เลวยิ่งกว่าสัตว์ สัตว์มันอยู่ด้วยกันมันยังอยู่รู้จักกัน

หมา เขาเลี้ยงไล่กัน เขารู้จักกัน หมาน้อยกับหมาใหญ่อยู่ด้วยกัน เขาก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ตัวใหญ่มาก็เลียตัวน้อย ตัวน้อยก็เลียปากตัวใหญ่ เขาไล่งับกัน คุ้นเคยกันบ้าง ไปหยอกกัน อ้า แต่ว่าไม่ได้เอาแรง ก็เอาเบาๆ หยอกกันน่ะ อ้า ถ้าไปทะเลาะกันจริงๆ ตาย หมาน้อยตาย ตัวใหญ่มีอำนาจกว่า มีกำลังแข็งกว่า ไม่ดีเลย

เพราะฉะนั้น ความกลมเกลียว สามัคคีดีต่อกัน ดูพวกปลวกทำรังเถอะ ดูพวกปลวกทำรัง ทำโพรงใหญ่ๆ ขึ้นไป มันทำรังขึ้นไป เวลาขึ้นก็ไม่ระวังๆ น่ะ อ่ะ วิ่ง มีหน้าที่ส่งของให้ถึงที่ เวลาลงโพรง วิ่ง ไม่ต้องรอใคร ชนใครต่อใครไปก็ ชนกันก็หลีกกันไป ชนกันก็หลีกกันไปไม่ทะเลาะกัน ช่วยทำงานได้ เป็นไปเป็นรังโต เป็นจอมปลวกใหญ่ๆ ไอ้พวกผึ้ง พวกต่อ พวกแตนก็เหมือนกัน เวลามันทำรังมันช่วยงานกัน ก็กุลีกุจอ วิ่ง ต่างคนต่างวิ่ง ทำตามหน้าที่ ชนกันและผิดพลาดตกลงไปช่างมัน ขึ้นมาใหม่อยู่อย่างงั้น

ไม่ ใครทำกู ใครชนกู ไม่ได้ว่ากัน อ้า ต้องช่วยกันจริงๆ จังๆ ไปนั่งดู เขาช่วยทำงานกัน พวกเขาทำงานช่วยกันอย่างจริงจัง พวกมด พวกปลวก พวกแมลง ผึ้ง ต่อ แตน สัตว์อื่นๆ เขาช่วยกันขนาดมีความจริงใจ และก็จริงจัง ไม่เอารัด ไม่เอาเปรียบกันเลย ไม่เอาเรื่อง เอาราวกันเลย จะชนกันบ้าง จะมีความขอโทษกันหรือเปล่า ก็ไม่รู้น่ะ แต่ว่าชนกันแล้วตกลงไป ช่างมัน เออ พอขึ้นมาได้เหมือนกัน คาบแต่ของขึ้นมาภายหลัง อยู่อย่างงั้น พวกต่อ พวกนั้นก็เหมือนกัน บินชนกันไป ผิดพลาดไปนิดหน่อย ให้อภัยซึ่งกันและกันอยู่เรื่อยอยู่อย่างงั้น แต่ว่าใครมากล้ำกรายทำลายถึงรังมัน มันก็กรูกัน พร้อมใจเข้ามา มนุษย์ตัวใหญ่ๆ ก็สู้ไม่ได้น่ะ ไอ้พวกผึ้ง พวกต่อ พวกแตน พวกเหล่านั้น ถ้ามันสู้กันจริงๆ อ่ะ พวกเราก็วิ่งแจ้นน่ะ ตัวใหญ่ๆ ขนาดนี้ ก็อยู่ไม่ได้ วิ่งแจ้น มันรุมเอาจนหัวแหวะ เต็มหัวแล้ว (เหล็ก)ไน มันมี(เหล็ก)ไน มันมี เป็น(เหล็ก)ไนมัน แทงเอาๆ ล่าถอยได้เลย บางทีก็ตายเป็นอาหารของมันก็มี สัตว์บางจำพวกตัวน้อยกว่ามันรุมกัน รุมต่อย รุมตีเอา จนได้เป็นอาหารเลี้ยงลูกมันต่อไปอย่างนี้ก็มี

เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ เราย่อมดีกว่านั้น ดีกว่าสัตว์พวกนั้น ให้มันดีมากๆ กว่านั้น

 

มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา

 

อยู่ในหัวใจ มีการช่วยเหลือเจือจุนกัน ดูแลกัน ช่วยแบกช่วยหามกันก็ได้ อะไรได้หลายอย่าง ใช้ไหว้วานกันได้ บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน แถวนี้ๆ ได้เห็นความพร้อมเพรียงของประเทศอินเดียเขา เวลาโจรผู้ร้ายเข้าบ้านเขา เอายังไง มีโจรเข้าบ้าน เข้าแล้วมันไปฉก ไปลักของเขา อ่ะ ทำบ้านเขาเสียหาย เขาก็ออกจากบ้าน ประกาศป่าวไปเลย โจโร โจโร โจโร ช่วยด้วยๆ โจโร โจโร ข้าเอย โจโร ข้าเอย โจโร เพิ่นวิ่งออกมาคนละบ้านละช่อง บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน ติดต่อกัน ประตูอยู่ใกล้ทางเดียวกัน ออกมาแน่นถนนเลย โจรไม่มีทางไป ก็หลบ ยอมตัว แต่แล้วจนว่าคางเหลืองล่ะ เขามีมีดกับมีด มีขวานกับขวาน มีค้อนกับค้อน ตีเอาจน ยองจนลง หรือบางทีถ้าสู้กันก็อาจถึงตาย พวกเขาเอาถึงตายเลยก็ได้ เพราะว่าเขาสามัคคีกัน เมืองประเทศอินเดีย ไปบางแห่ง บางอำเภอ เขามีความสามัคคีอย่างนั้น ถ้าหากมีอะไรมารบกวน มางัดแงะ มารบกวน ลักเล็กขโมยน้อย เขาจะร้องขึ้นทันที โจโร โจโร เออ คนหนึ่งร้องขึ้น ก็วิ่งออกมาจากบ้านน่ะ เจ้านั่นโจโร อยู่ไหน มันอยู่ไหน โจโรอยู่ไหน มันไปนั่นๆๆ ตามตัวให้ทัน จับลง จับลงมาได้ตัวแล้ว ก็ตีเอา อานไปเลย เขาเรียกว่าหัวร้างข้างแตก อ้า ยอมจำนน บางทีก็อาจจะเสียพิกลพิการไปนู้นล่ะ เขาพร้อม เขาพร้อมเพรียงกัน เขาไม่ได้ปล่อยให้ลอยนวลอยู่ต่อไป คนชั่วทั้งหลาย คนพวกก่อกวนความสงบแก่สังคม อันนั้นเขาไม่ชอบ ผิดจรรยาบรรณของเขาอย่างแรง เขาจึงตั้งมติกติกา ให้พวกเราสามัคคีกันขนาดนั้น ถ้าใครเกิดเดือดร้อนขึ้นมา ร้องเสียงดัง อ้า โจโร โจโรขึ้นมา ก็วิ่งมาช่วยกัน มีอยู่ในหมู่บ้านใกล้ชิดติดต่อกันมาหมด มันอยู่ไหนๆ ขึ้นมา นั่นๆ นั่นไงๆ มันวิ่งไปนู้นแล้ว วิ่งไปทางโน้นแล้ว เขาก็วิ่งตามไป จับโจรได้ไล่ตัวทันแล้ว มึงเสร็จ อ้า เคราะห์ร้ายโจรผู้นั้น เขาเรียกว่าพร้อมเพรียง สามัคคีดีต่อกัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อยามภัยพิบัติเกิดขึ้น อันนี้

 

ความสามัคคีมีในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น

ถ้าสามัคคีคลาดไปหรือขาดไปจากหมู่ใดแฮ

ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย

 

อันนี้ภาษิตคนโบราณ เพิ่นก็ว่าไว้ต่อๆ มา อืม พวกเราอยู่บ้านใกล้ชิดติดต่อกัน อยู่หมู่บ้านเดียวกัน อยู่ซอยเดียวกัน อ้า เป็นตึก เป็นบ้าน แล้วติดซอย ซอยๆ ซอยเดียวกัน ซอยใกล้ชิดติดต่อกัน เพราะเอาใจใส่ดูแลกันอย่างเต็มที่ เกิดไฟ เกิดอะไรขึ้นมาอย่างงี้ ก็รุมกัน ช่วยกัน ภัยพิบัติมันเกิดขึ้น มีการอิจฉาริษยา วางเพลิงกัน เอาน้ำมันมาสาดกัน แล้วก็จุดไฟ ไล่ที่ ไล่ทางกัน ทำนองนี้ ทำเกิดให้สังคมเดือนร้อน เกิดทำอย่างงั้น ทำให้สังคมเดือนร้อน ตัวเองไม่เป็นไร แต่ว่าคนที่ถูกทำ อย่างๆ นั้น รบกวนแบบนั้น เดือดร้อนทั้งครอบครัวไปทั้งลูก ทั้งหลาน เขาไม่มีที่อยู่ที่อาศัย เดือนร้อนทั้งนั้น เรามักจะเจออยู่บ่อยๆ ไปทางโน้น ทางจังหวัดโน้น จังหวัดนี้ ไปเห็นเขาวางเพลิงกัน ทำให้ห้องขายของพังถล่มทลายไป ทำให้ที่พักพาอาศัยถล่มทลายไป ไหม้สิ่งไหม้ของ เอาไม่ทันก็ฉิบหายกัน มีรถก็เผาทั้งรถ มีจักรยานยนต์ก็เผาทั้งจักรยานยนต์ มีอะไรก็เผาไปหมดทุกอย่างของบ้านนั้น ดูอิจฉาริษยากันอย่างนี้ มันจะดีหรือเปล่า ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้น อย่าริ ถ้ามีอย่าริ ถูกคนอื่นก็ไม่ดี ถ้าถูกตัวเราก็จะลำบากขนาดไหน เพราะถ้ามันเกิดความลำบากอย่างนี้ที่เกิดขึ้น ถ้าเราไม่พึ่งพาอาศัยกัน ใครล่ะจะช่วยเรา เราอยู่ใกล้ชิดติดต่อกันก็เอาใจใส่ดูแลกัน เมตตาปรานีอารี(อา)รอบกัน ให้ช่วยเหลือกัน อ้า เรารับผิดชอบด้วยกันอยู่ในซอยเดียวกัน ดูแลกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นคิดจะช่วย ก็อย่าทอดทิ้ง อย่านิ่งดูดาย อย่าใจจืด อย่าใจดำ อย่าอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ ให้มีมนุษยธรรม มนุษย์ธรรม เป็นผู้มีธรรมะอันสูง มีความเมตตา ปรานี เอ็นดู สงสารซึ่งกันและกัน ขาดเหลืออะไรก็เจือจุนกันไป ตามมีตามได้ อดก็ยอมอดตามด้วยกัน มีก็ รวยก็รวยด้วยกัน ช่วยกัน ช่วยกันหา ช่วยกันหาม

 

หักซ่วย(ช่วย)กันหาบ หยาบ(เหนียวแน่น)ซ่วย(ช่วย)กันดึง

(สิ่งใดหนักให้ช่วยกันหาบ สิ่งใดเหนียวแน่นช่วยกันดึงให้ขาด)

คำว่า คำกูมึง อย่าได้เอามาเว่า(พูด)

 

บ่แม่นกูแล้ว ช่างมันเถอะอย่างงั้น ทอดทิ้ง ไม่ดี เอาใจใส่กันทุกคนล่ะ คนไทยด้วยกันอยู่จังหวัดไหนก็เหมือนกัน อันเดียวกัน ในประเทศไทยจะเดือดร้อนในภาคไหน ก็อาจจะเดือดร้อนไปหมดทุกภาค เออ น้ำท่วมภาคไหน ไฟไหม้ภาคไหน ถ้ามันเกิดภัยพิบัติ ลมพายุใหญ่ แผ่นดินไหว อยู่ภาคไหนๆ ก็เดือดร้อนถึงกันทั่วประเทศ อ้า ต้องช่วยเหลือกัน บอกเล่าเก้าสิบกัน เจ้านายเป็นผู้บอก ก็บอกใครมีเครื่อง มีสลึง มีตำลึง มีบาท มี ๕ บาท ๑๐ บาท ๕ บาท มีร้อย มีพัน ก็ช่วยเหลือกันไป

 

แต่ว่าอย่ามาหลอกลวงกันเฉยๆ ถ้าหลอกลวงกันเฉยๆ หลอกมาต้มมาตุ๋นกันเฉยๆ มาขู่เอาเงินเอาทองของประชาชน อันนั้นก็เป็นอีกประเภทหนึ่ง ประเภททำความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่น ด้วยการกระทำของตัวเอง อย่างนั้นก็ไม่เข้าท่า ไม่เข้าท่า ไม่ดีจริงๆ อย่าให้ผู้อื่นต้องเดือนร้อนเพราะการครองชีพของเรา การอยู่ดีกินดีของเรา อย่าให้ผู้อื่นมายุ่งยาก ลำบากกับเรา เราช่วยตัวเองได้

ถ้าเพื่อนบ้านใกล้ชิดติดต่อกัน ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราจะอยู่ดูแลกัน บ้านนอกออกไปทางทุกจังหวัดเป็นอย่างงั้น จังหวัดไหนๆ ถ้ามีการเผาศพกันที่ไหนๆ เดือดร้อนยังไง ก็มันไหลกันมาเป็นแถว มีดอกไม้ก็เอาดอกไม้ มีธูปเทียนก็ธูปเทียนมา มาทำบุญสุนทาน มีการเลี้ยงพระเลี้ยงเจ้าที่ไหน มันก็ไหลกันมาจนไม่มีที่นั่ง เออ นั่น

 

น้ำใจไทย ลูกหลานไทย น้ำใจประเสริฐ

งามล้ำ งามเลิศ หาดูได้ยาก ในโลกโลกาแลหนา

งามหน้า งามตา งามกิริยา งามมารยาท

งามเชื้อ งามชาติ งามวาสนา

งามจิต งามใจ งามในศรัทธา

 

ศรัทธา ความเชื่อ เลื่อมใส นี่เต็มบริบูรณ์ ไม่บกพร่อง พี่ ป้า น้า อา มาแต่ทางไหน บ้านไหน เมืองไหน เดือดร้อนยังไง เราพอใจที่จะช่วยเหลือกันอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใจจืด ไม่ใจดำ ไม่อำมหิตกับชาติเดียวกัน พี่น้องชาติเดียวกัน แม้แต่คนต่างด้าว ข้ามต่างแดนมาอาศัยเรา มาค้ามาขายในเมืองเรา มาล่มจมในเมืองเรา เขาทุลักทุเลขนาดไหน คนไทยก็ไม่ใจจืด ใจดำหรอก เอาใจใส่เป็นพิเศษ โอ้ พ่อ พ่ออย่างงั้นอย่างงี้ รุมกันช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ คนละเฟื้อง คนละสลึง คนละตำลึง คนละ ๕ บาท ๑๐ บาท ก็แล้วแต่กำลังใจ

 

น้ำใจไทย ลูกหลานไทย น้ำใจประเสริฐ

งามล้ำ งามเลิศ หาดูได้ยาก ในโลกโลกาแลหนา

งามหน้า งามตา งามกริยา งามมารยาท

งามเชื้อ งามชาติ งามวาสนา

งามจิต งามใจ งามในศรัทธา

 

เชื่อว่าทำบุญเป็นบุญ เชื่อว่าทำบาปเป็นบาป เชื่อว่าสงเคราะห์สงหาผู้อื่นก็ได้บุญเหมือนกัน นี่เชื่อมั่นในใจอย่างนี้ คนไทยไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใจจืด ใจดำ เอาใจใส่กันอยู่อย่างนี้ บ้านเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข มีความสุข อบอุ่นใจ กับพี่ ป้า น้า อา ที่บ้านใกล้ชิดติดต่อกัน ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย

อ้า ช่างมันเถอะ จังหวัดไหน มันมาจากไหน ช่างมันเถอะ ปล่อยเฉยไว้ อย่างนั้นไม่ดี เอ้ ตั้งแต่เห็นหมา เหยียบ รถ ดิ้นทุรนทุรายอยู่ ยังไปหอบ ไปอุ้มเอา โอ้ย มันจะตาย มันจะเป็นยังไง ขาหักหรืออะไร อุ้มมาพาปฐมพยาบาลเอา จนมันไปได้ มาได้ อย่างงั้นเรียกว่าน้ำใจที่มีเมตตา การุญ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ ไก่ก็ดี สัตว์อื่นก็ดี สัตว์ไม่มีวาสนาบารมีอะไรสูงส่ง เขาตกทุกข์ได้ยากมา เขาก็ร้องให้คนช่วย ร้องแต่ว่ามันก็รู้จักภาษากัน ไก่มันก็ร้องอีกภาษาหนึ่ง อ่าๆๆ เป็ดมันก็ร้อง ก๊าบๆ ไป หมามันร้อง เอ๋งๆๆ กัน อ้า เจ็บขาแล้ว มากแล้ว แล้วก็ แต่คนก็ไปซ้ำเติมมันอีกมัน มันก็ตายเลย ไม่มีที่พึ่ง เพราะฉะนั้น ความเมตตาปรานีนั้นเป็นคุณสมบัติของผู้เจริญทั้งหลาย ผู้เจริญทั้งหลายไม่นิ่งดูดาย เห็นสัตว์ตกทุกข์ได้ยากลำบาก ไม่นิ่งดูดาย เห็นเพื่อนมนุษย์ถูกรังแก ก็ไม่นิ่งดูดาย อ้า

แต่ว่าถ้าอาวุธเขาดีกว่า ก็อย่าไปแหยมเขานะ เขามีอาวุธปืน มีอะไร อย่าไปแหยมเขาล่ะ เขาเอาตายเหมือนกัน อ้า ถ้ามีตั้งแต่รังแกกันธรรมดา เข้าไปแย่งเลย แย่ง แย่งเอามีด แย่งเอาค้อน แย่งเอาอย่างอื่นออกจากไม้ จากมือ จับส่งเจ้าหน้าที่ และก็แนะนำ และก็สั่งสอนด้วยเมตตา อย่าทำร้ายร่างกายกัน อย่าฟาดฟันกัน

เขามีลูก เขามีเมีย เขามีพ่อ เขามีแม่ ฝากส่งถึงพ่อ ถึงแม่เขา ตกทุกข์ได้ยากลำบากยังไง นี่เขาเรียกว่าจุนเจือกัน เมตตาปรานีอารี(อา)รอบกัน ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ไม่ใจจืด ไม่ใจดำ เขาเรียก

 

เมตตาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งให้เองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

 

ฉะนั้น อันนี้เป็นพระนิพนธ์ ล้นเกล้าฯ ของรัชกาลที่ ๖ เพื่อที่จะ... ท่านว่าไว้

 

อันความเมตตาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่

หลั่งให้เองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

 

 

อย่างนั้น ฝนมันตกลงมาก็ทำให้แผ่นดิน แผ่นหญ้าชุ่มชื้น พวกมด หนู ปู ปลวก ก็มีน้ำอยู่ น้ำกิน พวกเขียดทั้งหลาย ก็ออกร้องระงมเซ็งแซ่ เพราะมีน้ำฝนมาแล้ว มาออกลูกออกเต้ากัน เออ แพร่กันทั่วแผ่นดิน ในประเทศไทยมีหมดทุกจังหวัดล่ะ ตามสุพรรณบุรี มีกบ มีเขียดน้อย มีฮวก(ลูกอ๊อด) กบน้อย เขียดน้อย เสร็จแล้ว เขาก็ไต้(ล่าเวลากลางคืน)เอายังไงพวกนี้ เอายังไงหลายเอา เอามากรอบ มาทำกรอบ แล้วทำตากแห้ง แล้วอบกรอบ เอามาขายฮอด(ถึง)กรุงเทพฯ นี่ล่ะ มาจาก อ้า ทางสุพรรณบุรีพู้น(โน้น)ล่ะ เขียด กบ อบกรอบอย่างงั้น มีจากสุพรรณบุรีมา ทางโน้น มันกบเขียดเขาหลายหรือยังไงไม่รู้ แน่ะ มีประโยชน์ต่อกันทั้งนั้นล่ะ สัตว์ก็ดี มนุษย์ก็ดี อาศัยซึ่งกันและกัน อย่าทอดทิ้ง อย่านิ่งดูดาย อย่าใจจืด ใจดำ อำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ดังที่แสดงมาเป็น ปกิณณกนัย เพื่อต้องการให้ท่านผู้เจริญทั้งหลาย นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยปรีชาอันชาญฉลาดของตนๆ เองเถิด อัปปมาทธรรม ไม่มีความประมาท ตั้งอกตั้งใจ ให้เป็นคนใจกว้างอยู่อย่างนี้ทั่วประเทศ ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขทุกทั่วหน้า ทุกตรอก ทุกซอก ทุกมุม ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล อาศัยซึ่งกันและกันดังนี้ได้ ก็เรียกว่าตั้งแต่โบราณกาลมา ตั้งแต่พระบรมฯ มา รัชกาลที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ มา จนว่าพม่ามารุกไล่ตีกรุงศรีอยุธยา อ้า จะแตกแตน แหลกลาญขนาดไหนก็ไม่หวั่น เรากู้ชาติบ้านเมืองด้วยกัน เพราะความสามัคคีดีต่อกัน ไม่ทอดทิ้งนิ่งดูดายกัน พม่าก็เข็ดหลาบไป ถอยมาถอยไป ไอ้พวกนั้นมันมาแบบขโมยขโจร ศึกพม่า ศึกฮ่อของพม่า ศึกฮ่อของลาวก็ยังมี ดันเอาโคราช ศึกฮ่อของโคราชไง ศึกฮ่อของลาว เจ้าอนุเวียงจันทน์นำขบวนการ เข้ามายึดถึงโคราช เออ ว่าประเทศลาวของเขาถึงโคราช เขาจะมายึดบ้านเมืองคืน มากันเป็นขบวนๆ เป็นร้อย เป็นพัน แต่ว่าย่าโม ย่าโมเป็นคนมีใจเด็ดขาด ท่านย่าโมเป็นเมียของเจ้าเมือง ไอ้ผู้ ผู้ชายหนีไป ใครจะสู้ เขา ไปๆ ทางนี้ ผู้ชายไปทางนี้น่ะ ผู้ชายไปทางนี้ อ้า เรื่องนี้ฉันจัดการเอง มาแล้วกัน นัดแนะกันไว้แล้ว

โอ้ย เจ้านายเรามาๆๆ มาจากเวียงจันทน์ เจ้าอนุเวียงจันทน์มา มาเยี่ยมเยียนเราถึงโคราช พวกเราต้องต้อนรับขับสู้เต็มที่ ให้เต็มที่ อย่า มีใครมีอะไร มีเหล้ายาปลาปิ้งที่ไหนมี อย่าไปหวงไว้ เอามาเลี้ยงพี่น้องเรา ทุกคนไปหาเหล้า ไหเหล้า ไหยามาเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มหมด มาเลี้ยงเจ้านาย เจ้านายมา เลี้ยงกันดีๆ ใครมีสาวสวยๆ งามๆ มีลูกเต้าสวยๆ งามๆ ก็เอามาจัดให้เข้าคู่ เข้าคู่กันกับทหาร อ้า ให้กอดก็ไม่ว่า จับที่ไหนไม่ว่า จะดม จะจูบยังไงก็ไม่ว่า ทางนั้นก็ได้เห็นสาวสวยๆ งามๆ มาให้กอด ให้ดม ก็เอาเต็มที่ อ้า กินเหล้าไป กินเหล้า มันเหนื่อยมาเท่าไหร่ล่ะ เดินทางมาจากเวียงจันทร์ มาถึงโคราชก็เหนื่อยพอแรง อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ถ้าได้ถ้ากินอาหารดีๆ เจ้าเมืองเลี้ยง แถมยังได้กินเหล้า เจริญอาหารดี กินเหล้า กินอิ่มแล้วปะเนี่ย ก็สาวๆ สวยๆ เขาก็กอดเอาไป ธรรมดา มันอ้อแอ้เต็มที่แล้ว อ้อแอ้ยังไม่รู้มีสติ รู้ตัวหรอก ท่านย่าโม เพิ่นพยักหน้าใส่ลูกน้อง พยักหน้าใส่ลูกน้อง ชี้ใส่ดาบ ดาบเขา...ไว้ตามฝาผนัง ฝาผนังบ้าน กลางบ้าน เออ มีดาบ มีปืน มีดาบ ชี้ไปโน้นๆ ทางนั้นก็โจงอก โจงกระเบน มัดอ้อมลงมา โจงกระเบนไปผูกข้างหลัง ผูกหน้า ไม่มีเสื้อ ต้องนุ่งผ้าโจงกระเบนกัน อ้า สมัยโน้นนุ่งผ้าโจงกระเบนกัน ไม่มีผ้าถุงแบบนี้ ผ้าถุงทุกวันนี้มีผ้าถุงใส่ อ้า จับได้ดาบ ก็รำดาบไปเลยพวก อ้า สนมทั้งหลาย พวกกำลัง พละกำลังทั้งหลาย คนแข็งแรงไม่ได้เหน็ดเหนื่อยที่ไหน ได้กินข้าวอิ่มอยู่ทุกวันๆ จับดาบได้ก็ฟันลงเลย ทางนั้นมาแล้วทำไง ตึงตั้งๆ นี่ถึงคอเจ้าของแล้ว คอขาดลงไปแล้วยังไม่รู้ตัว โอ้ ถูกโจมตีแล้ว แต่ไม่ไหวแล้ว แต่ถอยๆ ถอยไปๆ ก็ฟาดฟันกันตามบันได บันเดิด ล้มตายไป ตามท้องไร่ ท้องนา ออกทางทุ่งสัมฤทธิ์ ออกตามทุ่งสัมฤทธิ์นี่ก็ พวกเราชาวชัยภูมิมาแล้ว นัดเจอกันที่นั้น นัดกันแล้วมากัน เพิ่นประกาศไปหมดแล้ว ขอนแก่น บึงพลา มาทั้งนั้น

ทวดของเราก็อยู่ทางขอนแก่นสมัยนู้น ไม่ใช่ปู่หรอก ทวด ได้ยินข่าวก็กล้าท้าสมัครปราบกบฏ อ้า จากคนละหนึ่งๆ นับตามชื่อเอา ไปออก ไปสมทบกันกับโคราช มาถึงระหว่างทุ่งสัมฤทธิ์ ก็เจอกันพอดี ทางโน้นก็ไหลออกมาจากในเมืองโคราชนู้น ...ก็ไหลออกมา ไล่ฟันกันมา ทางนี้เข้าสมทบ ฟันต่อไปเลย ไหนๆ คนไทย ไหนๆ คนลาว ก็ชี้ใส่โน้นๆๆ ลาวกับลาว เจ้าอนุเวียงจันทน์ โน้นๆ ชี้ ไล่ฟันไปจนตายเป็นเบืออยู่ในทุ่งสัมฤทธิ์ ตายเป็นเบือ ไล่กลับเวียงจันทน์ ตะโกนไปโน้น

สมัยนู้นน่ะ สมัยนู้นทวดของเราก็เป็น ผู้อาสาสมัครมาเหมือนกัน ทวด ปู่ เอ๊ย พ่อของปู่ ไปปราบข้าศึกกลับมาได้ ทางคุณย่าเพิ่นอยู่ทางเมืองมัญจาคีรี มีท้อง มีท้องเกินเดือนแล้ว พอดีเขารบเสร็จแล้ว กลับขึ้นมาบ้าน เมียก็ออกลูกเสร็จพอดี คุณแม่ คุณย่าเพิ่น ย่าทวดออกลูกพอดี ออกลูกเป็นผู้ชาย ก็เลยให้ชื่อว่า ท้าวรบ ท้าวรบเพิ่นก็ออกมาวันนี้ พอพ่อกลับมาจากรบ เพิ่นก็ออกลูกพอดี ท้าวรบเนี่ยน่ะ ไปเป็นปู่ของเราหรอก ... อ้า นั่นแหละมา ...เที่ยวเล่น ทางโน้น อำเภอพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น เขาจะย้ายเมือง เมืองจังหวัดอยู่มัญจาคีรีแต่ก่อน ย้ายเข้าไปอำเภอพลพู้น(โน้น) ทางนี้ก็เที่ยวไป ไปหาเล่นสาวไป ไปพบกับย่า ย่าอยู่เมืองพล อยู่เมืองพล เป็นลูกขุน ลูกหลวงเหมือนกันว่ะ ไป พาเล่นสาวไป ไปเจอ ได้เมียไป ลูกขุน ลูกหลวงเหมือนกันนะ เป็นขุน เป็นหลวงอยู่ทางนู้น อืม

นั่น บ้านเมืองก็อยู่รอดปลอดภัยมาดี ด้วยความสามัคคีของหมู่ ของคณะช่วยกัน ปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองเอาไว้ได้ ไม่แตก ไม่แยกกัน อยู่คนละหัวเมือง มีจดหมายถึงกัน มันไม่มีโทรศัพท์ โทรทัศน์เหมือนสมัยนี้ว่ะ มีจดหมายถึงกันให้พวกม้าเร็วไปส่ง ให้ม้าเร็วไปส่งเรื่องราวมันเป็นยังไง เพิ่นจะให้รบที่ไหน ม้าเร็วไปบอก แล้วก็พากันมา รีบด่วนๆ บอกให้ถึงโคราชวันนี้เลย อย่าช้าเลย เจ้าอนุเวียงจันทน์ยึดเอาเมืองโคราชแล้ว พวกเรานั่งก็ไม่อยู่หรอก ลุก เพิ่นพาไปขนาดนั้นล่ะเอา เอาแต่หัวดีๆ มาทั้งนั้นล่ะ เอาดาบ มีแต่ดาบ สมัยก่อนมีแต่ดาบ มันหลาย ปืน หอก ดาบ เอามาแค่นั้นแหละ ไม่มีปืนกลหนัก (ปืน)กลเบาสมัยนี้หรอก นั่น ไล่กันออกมาจากโคราช ไล่กันมา ชี้มาทางโน้น พวกเราไปสมทบทางนี้ ชี้โน้นๆๆๆๆ ชี้ให้พวก ที่ไปจากทางจังหวัดชัยภูมิบ้าง จังหวัดขอนแก่นบ้าง อ้า เมืองมัญจาคีรีบ้าง เมือง... มาทางโน้น มามืดฟ้ามัวดินมาเหมือนกัน ตีใส่กัน ไล่ฟันเหมือนดัง หมาจนตรอก ไม่ไหว ไม่ดี คนกินเหล้าเมาพอหลายแล้ว เหล้าพอหลายแล้ว ไปเมาผู้หญิงอีกปะเนี่ยก็ ฟันเอาๆ เหมือนดังฟันหยวกกล้วยธรรมดา นี่แล้ว ตาย พอว่าพวกนั้น กลับขึ้นไปก็ได้กล้าหาญชาญชัยไป พวกชัยภูมิก็กลับไป ถึงชัยภูมิก็ยกย่องให้เป็นพระยา เป็นพระยาแลไป ปู่ทวดของเราก็ได้เป็นพระยาเหมือนกัน ไปเป็นพระยา พระยาประเสริฐพฤติคุณธนะเชษ เทือกอะไรนี่แหละ ทวดของเราไปเป็นพระยาเหมือนกัน พระยาแล พระยาอะไรนั่น ได้เป็น ...ได้เป็นพระยา เนี่ยถ้าก่อนทุกก่อน มันปาอาวุธ ศาสตราอาวุธไม่แรง ร้ายแรงเหมือนสมัยนี้ หากเกิดขึ้นอย่างสมัยนี้เรียกว่าแหลกลาญไปหมด ถ้ามีเกิดขึ้นในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ จะเป็นยังไง น่าเป็นห่วงเป็นใย มีแต่อาวุธร้ายแรงทั้งนั้น อยู่ในประเทศ อยู่ในกรุงเทพฯ อาวุธร้ายแรง อาก้า(AK-47) ปืนกลหนัก ปืนกลเบา มีหมดทุกอย่าง ระเบิดก็มี ใช้อาร์พีจี(RPG) อาร์พีเจอ อะไรมีหมดทุกอย่าง ถ้าเกิดขึ้นในเมืองอย่างนี้ ในสมัยนี้จะบรรลัยพินาศขนาดไหน ถ้าสมัยก่อน...ดักไล่ฟันกันเฉยๆ ก็พอไหว รอดมาได้ ไม่ตาย เอาชนะได้เพราะความกล้าหาญชาญชัยนั้นเอง

เพราะฉะนั้น พวกเราอยู่ในกรุงเทพฯ เดียวกัน อย่าริเริ่มแตกแยกสามัคคีกันเลย ให้กลมเกลียว กลมกลืน สามัคคีดีต่อกัน จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง เพลงเขาว่ายังไงนะ เออ จรรโลงของประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้ ถ้าเราแตกแยกสามัคคีกันแล้ว โอ้ย เป็นเหยื่อของข้าศึก ผู้ไม่หวังดีต่อเมืองไทย จะถือโอกาสมาฟาดฟันกับคนไทยของเราให้ฉิบหาย ตายต่อกัน อย่างสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนมีตั้งแต่ศาสตราอาวุธ หอก ดาบ มีด ปืน สมัยนี้มันมี โอ้ย อาก้า(AK-47) ไอ้เอ็มทู(M2) เอ็มอะไรนี่มัน ปืนสั้น ปืนยาว ระเบิด ได้หนีกันระเบิดอะไรมากมาย ปาลงมาแต่ละลูกนี่ พังไปหมด เพราะฉะนั้น ในสมัยนี้อย่างนี้ พวกเราต้องสามัคคีกันเอาไว้ อย่าแตกแยกกันแม้แต่น้อย เพราะเราเป็นคนรักษาความสงบ อยู่กันอย่างสงบ กินด้วยกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เกิดมา

เพราะเป็นเมืองกรุงเทพมหานคร และก็เมืองอื่นน่ะมากมาย ลุกลามไปฮอด(ถึง)สี่แยกศรีอยุธยานู้นแหละ นั่น ถ้าเราแตก เราแยกกันแล้ว ไม่ดีเลย เพราะฉะนั้น ขอฝากความคิดอันสับสนนี้ให้แก่ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ได้นำไปขบคิดพินิจพิจารณาด้วยปรีชาอันชาญฉลาดของตนๆ เองเถิด อัปปมาทธรรม ไม่มีความประมาท ตั้งอกตั้งใจ กลมเกลียว สามัคคีกันไปในชีวิตนี้ มันก็ไม่หลายปีเท่าไหร่หรอก เดี๋ยวก็ตาย ก่อนตายก็ฝากคุณงามความดีไว้ให้กับประเทศชาติ ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกันตลอดไป ด้วยประการฉะนี้ พอแล้ว

 

(สาธุ)

 

เอวังแล้วนะ

 

 

 

อานิสงส์ของการรักษาศีล

 

อิมานิ ปัญจะ สิกขาปะทานิ

สิกขาบท ๕ เหล่านี้

 

สีเลนะ สุคะติง ยันติ

ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ถึงสุคติ

 

สีเลนะ โภคะสัมปะทา

ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้มาซึ่งโภคทรัพย์

 

สีเลนะ นิพพุติง ยันติ

ศีล นั้นจักเป็นเหตุให้ได้ไปถึงนิพพาน

 

ตัส๎มา สีลัง วิโสธะเย

เพราะฉะนั้น ศีล จึงเป็นสิ่งที่วิเศษ

 

 

พรหมวิหาร ๔ (ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ)

เมตตา(ปรารถนาดี ให้มีสุข) กรุณา(สงสาร ให้พ้นทุกข์)

มุทิตา(ยินดี เมื่อผู้อื่นมีสุข) อุเบกขา(วางใจ เป็นกลาง)

 

บีฑา [บี-ทา] เบียดเบียน บีบคั้น รบกวน เจ็บปวด

(ฆ่าตีบีฑ์โบย)

 

ประวัติเจ้าเมืองผู้ก่อตั้งเมืองมัญจาคีรี

จางวางเอกพระยาพฤติคุณธนะเชษ (สน)

 

พระเกษตรวัฒนา (สน)

ปฏิบัติงานสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าอยู่หัว

มิได้ขาดตกบกพร่อง มีความสามารถในการหาชายฉกรรจ์

ที่ยังไม่มีสังกัดได้เป็นจำนวนมาก เป็นผู้ที่มีความสามารถ

ในการสู้รบ ทำให้ผู้คนอพยพมาอยู่เมืองมัญจาคีรี

เพิ่มมากขึ้นส่งผลให้เก็บส่วยได้มากขึ้น

 

นอกจากนี้พระเกษตรวัฒนา (สน) ยังได้นำไพร่พล

และชายฉกรรจ์ชาวมัญจาคีรีเข้าร่วมสงครามปราบฮ่อ

ครั้งที่ ๒ ที่ทุ่งเชียงคำในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๓๔-๒๔๓๖

ซึ่งถือเป็นความดีความชอบที่ปรากฏอย่างเด่นชัด

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็น

จางวางเอกพระยาพฤติคุณธนะเชษ

ซึ่งทำหน้าที่ปกครองเมืองมัญจาคีรี

 

 

โดยบรรดาศักดิ์

จางวางเอก นับตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

หมายถึง หัวหน้ามหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง

(หรือเจ้านายต่างกรม ลำดับขั้นยศเทียบเท่า

มหาอำมาตย์เอก ในสมัยต่อมา)

 

ส่วนบรรดาศักดิ์ของเจ้าเมืองในสมัยนั้น

ถ้าเป็นเมืองเล็กจะเป็น พระ

ถ้าเป็นเมืองใหญ่ถึงจะเป็น พระยา

 

กรณีที่พระเกษตรวัฒนา(สน) เจ้าเมืองมัญจาคีรี

ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น จางวางเอกพระยาพฤติคุณธนะเชษ

จึงถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

 

โดยจางวางเอกพระยาพฤติคุณธนะเชษ

ได้ทำหน้าที่ เจ้าเมืองมัญจาคีรี คนที่ ๑

ปกครองเมืองมัญจาคีรีจนชราภาพ

และถึงอนิจกรรมในปี พ.ศ. ๒๔๓๙

 

 

เวนิสวาณิช(The Merchant of Venice)

ของ วิลเลียม เชกสเปียร์(William Shakespeare)

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็น กลอน ๘ บทละคร พ.ศ. ๒๔๕๙

 

The quality of mercy is not strained.

อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่

 

It droppeth as the gentle rain from heaven

หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ

 

Upon the place beneath. It is twice blest:

จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน เป็นสิ่งดีสองชั้น พลันปลื้มใจ

 

It blesseth him that gives and him that takes.

แห่งผู้ให้และผู้รับสมถวิล

 

‘Tis mightiest in the mightiest; it becomes

The thronèd monarch better than his crown.

His scepter shows the force of temporal power,

เป็นกำลังเลิศพลังอื่นทั้งสิ้น

 

The attribute to awe and majesty

เจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระกรุณา

๖๘