หลวงปู่ท่อน ญาณธโร

วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๖ เวลา ๑๗.๐๐ น.

ณ ห้องประชุมชั้น ๒๒

อาคารศูนย์การแพทย์วิชัยยุทธ

โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

เสียงมันหายไป ไปประเทศมาเลเซีย ถูกอากาศเปลี่ยนแปลงหรือยังไง กะทันหัน กลับมาบ้านเสียงหายไปเลย ก็หวัด อากาศทางโน้นมันก็ไม่ผิดกันกับบ้านเราเท่าไหร่ มีผิดนิดหน่อย มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ อยู่กรุงเทพฯ นี้ก็เปลี่ยนแปลงได้ โรคภัย โรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดเปลี่ยนแปลงไปเลย เลยแก้ไขถ้าอยู่ใกล้หมอ หมอก็ช่วยแก้ไขให้ ให้เสียงคืนมาอย่างเก่า แต่ไม่เต็มที่ ยังได้ไม่คืนมาเต็มที่ ยังหลงๆ เหลือๆ ไปอยู่ ตัสสะ ตัวอักษรของมัน ภาษาของมัน ดัดไม่ค่อยเข้าเลย สะระณัง คัจฉามิ อย่างนี้ว่ายาวไปเลย อืม ตั้งใจ เด้อ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง

ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ

 

พูดมาทุกครั้งทุกคราว มันก็อาจจะไม่เหมือนเดิมเพราะมันเปลี่ยนแปลงไป อันนี้พูดเรื่องจริง

จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง

 

จิตของคนเรามีความละเอียด สุขุมคัมภีรภาพมาก ยากที่จะพรรณนาให้สิ้นให้จบได้ เพราะว่าจิตนี่มันไปทุกหนทุกแห่งร้อยแปดพันประการไปรอบจักรวาล ในโลกไปได้ทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้นการรักษาจิตจึงเป็นของยาก ท่านจึงให้นั่งสมาธิ ภาวนา เพื่อรักษาจิต ไม่ให้ฟุ้งซ่านออกนอกร่างนอกกายไปที่อื่น ฉะนั้นจะมีอานิสงส์ใหญ่ เออ

จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง

ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ

 

มนุษย์หญิงชายทั้งหลาย ถ้าได้ฝึกฝนอบรมจิตของตนอยู่ในสนับ อยู่ใต้สนับบังคับของสติปัญญาของตัวเองได้ดีแล้ว นำความสุขมาให้ เพิ่นว่า

 

ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ

 

มนุษย์หญิงชาย เหล่านั้นเป็นผู้ประเสริฐ เพราะได้อบรมจิตแล้วบอกได้ ห้ามได้ไม่ไปไหน อยู่กับเนื้อกับตัวเราเอง วิธีฝึกฝนอบรมจิตนั่นท่านก็ตรัสไว้แล้วด้วย เอาอะไรมาฝึกฝนอบรมจิต ไม่ให้มันนึกมันคิดไปทางอื่น ให้มันอยู่กับเนื้อกับตัว ให้รู้ตัวอยู่ทุกขณะจิต ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปตามสัญญาอารมณ์อื่น มีวิธีอยู่ ท่านเอาวิธีอันนี้มาสอนโลก วิธีนั้นยังไง อะไรพิธี มีพิธีรีตองอย่างไร ไม่มีพิธีรีตองอะไรหรอก

ตั้งสติรู้ใจของตัวเองอยู่ ให้รู้อยู่ที่หน้า อยู่ที่หน้า ที่ตาของเรานี่แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็น เป็นช่องประตูที่มันจะโผล่แวบออกไป แวบออกไปจากร่างจากกาย ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เป็นประตูของจิต จิตคิดไปได้ทั่วโลก อ่ะ

อย่างงั้นไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้อง ต้องดึงจิตไว้อยู่ในใจของเรา รู้อยู่ในอก ได้ยินอยู่ที่หู ได้รู้อยู่ที่ใจ อ่ะ เราจะบังคับให้มันอยู่กับเนื้อกับตัวสักระยะหนึ่งหรือเอาตลอดวันตลอดคืน ยิ่งมีอานิสงส์ใหญ่ อ้า ถ้าบรรลุคุณธรรมอันประเสริฐขึ้นไปได้

 

จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง

 

จิตที่ฝึกฝนอบรมดีแล้ว นำความสุขมาให้แน่ะ เพิ่นว่าอย่างงั้น ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เพิ่นก็บอกไว้

 

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

 

สุขอื่นในโลกจะมีหมื่นมีแสนมีล้านก็ตามความสุขนั้นสู้ความสงบไม่ได้ ถ้าทำความสงบให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว มีสุขเหลือเกิน เพิ่นเรียกว่า

 

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

 

สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ถ้าผู้ใดยึดเอาสติสตัง อยู่กับเนื้อกับตัวได้ ไม่ฟุ้งซ่านส่งออกนอกร่างนอกกายไปอื่นแน่ะ หาความสุขไม่มีเลยเป็นจากฟุ้งซ่าน รำคาญจิต นั่งสมาธิมันก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ส่งไปนอกร่างนอกกายไปอื่นโน้น ออกจากร่างจากกายเราไป มันก็คว้าน้ำเหลวอ่ะแหละ หาอะไรไม่มีเลย มรรคผล นิพพานก็ไม่ใกล้เลย คว้าน้ำเหลว ไม่มีเนื้อ ไม่มีเนื้อในนั้นเลย เอาสติมาจดจ่อระลึกต่อการภาวนาของเราดีกว่า เอาอะไรล่ะมาเป็นเครื่องหมายอยู่หรือไม่อยู่ เอาลมหายใจเข้า รู้ หายใจออก รู้ หายใจเข้า รู้ หายใจออก รู้ ต้องมีคำบริกรรมอีกนะ มีคำบริกรรมติดตามว่า หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ แค่นี้มี ๒ คำแค่นี้ หายใจเข้า พุท เวลาเราลมออกก็ โธ ตาม โธ ยาวๆ อย่าให้มันสั้น ให้มันเป็นความระลึกได้ หายใจเข้ามันเข้าลึก เข้ายาวขนาดไหน พุท ยาวๆ เวลาออกก็ โธ ตามยาวๆ ระลึกอยู่แค่นี้ ใจสงบ น่ะนั้นเป็นสมาธิ ใจสงบแม้ยังบริกรรมอยู่ ระลึกอยู่ก็ลืมเนื้อลืมตัว มีแต่วูบ วาบ วูบวาบ นี่เป็นสังเกตว่า ยังหายใจอยู่ แล้วไม่ได้ระลึกตาม แต่หายใจ พุท นั่นมีความระลึกตาม เวลาลมออก โธ ตามระลึก พุท โธ นี้ยาวๆ รู้ มันสั้นก็รู้ มันยาวก็รู้ ลมเข้าลึกก็รู้ ลมเข้าน้อยเดียวก็รู้ ลมออกยาวก็รู้ ลมเข้าสั้นออกยาวก็ไม่เสมอกัน ให้มันสม่ำเสมอกันกับความระลึกได้ เป็นมหาสติ อืม ไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นมหาสติอยู่ทุกวันๆ ไม่ได้อยู่ได้ที่ไหน พระนิพพาน มันก็ต้องรวมเข้าไป รู้ถึงพระนิพพาน ความสุข พระนิพพาน

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

 

เพิ่นยังรับรองไว้ว่า ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี เออ ความสุขอื่นเสมอด้วยความสงบสุขไม่มี ถ้าเราควบคุมสติไว้อยู่กับเนื้อกับตัวได้สักระยะหนึ่ง ก็จะเห็นความแปลกประหลาดเกิดขึ้นในตัวเรา มันสงบ วิเศษจริงๆ อ้า สงบนิ่ง จนไม่รู้เนื้อรู้ตัวพู้น(โน้น)ล่ะ อ้า มันสงบ มันมีแต่รู้ๆๆ อยู่อย่างเดียว ไม่ได้ว่าพุท ไม่ได้ว่าโธ เหลือแต่ แต่มันรู้อยู่อย่างนั้น อันนี้เรียกว่าใจเป็นหนึ่ง ใจของเรามันมี วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา เนี่ยจริงๆ ๕ อย่างนี่ อยู่นี่ อยู่นี้ ท่องเที่ยวอยู่นี่ มีวิตก มีวิจาร มีปิติ มีสุข มีเอกัคคตา มี ๕ อย่างนี้ ให้ควบคุมอยู่ใน ๕ อย่างนี้ อย่างน้อยให้ออกมาสำรวจตรวจตราดู ว่าเรามีวิตกอะไรบ้าง เรามีวิจารอะไรบ้าง แล้วเกิดความปิติปราโมทย์ขึ้นหรือเปล่า ปิติ แล้วก็สุข เกิดความสุขหรือเปล่า ถ้าจิตเป็นเอกัคคตาจิต จิตเป็นหนึ่งแล้ว มีความสุขที่สุด ไม่มีสุขอื่นเสมอด้วยความสงบไม่มี

 

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

 

เพิ่นบอกอย่างงั้นนะ อ่ะ ถ้าต้องการความสุขอย่างสุดยอดจริงๆ จะเอาไหม รู้อยู่กับอารมณ์ของภาวนา ภาวนาให้มันรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอซะก่อน อ่ะ จึงไปวิตก ไปวิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา จิตเป็นหนึ่งแน่นอน เอกัคคตาจิตเป็นหนึ่งแล้ว นั่นน่ะ บรมสุข อยู่ที่นั่น สุขในโลกมีหลายอย่าง สุขเพราะโลกีย์ สนุก สุขและก็สนุกด้วย เต้นรำทำเพลงตามสำเนียงของเพลงนั้นๆ ป้อรำขับร้องแล้วถึงจะหายเหน็ดหายเหนื่อย ไม่รู้ตัวเลย โอ้ เวลาหยุดจากเต้นรำขับร้องไปแล้ว ได้มาเอาพัดมาพัดตัวเองอยู่อย่างนู้นมันเหนื่อย พัดวี(พัด)ตัวเองมันเหนื่อย มันเต้นตลอดชั่วโมงที่เขาให้แสดง เขาแสดงละครเรื่องอะไร เต้นรำเรื่องอะไร เอาแต่เย้วๆๆ ตามเสียงจังหวะของเพลงนั้น

เวลาพักแน่ พักแล้ว อ่ะ นั่นน่ะ ดูคนไหนๆ ไม่อยู่เฉยๆ มันร้อนเอาพัดมาพัดตัวเอง วี(พัด)ตัวเองมัน ฮะฮะ มันเหนื่อย มันหอบ อ้า นั่นน่ะลืมตัวไปขณะนั้น ปล่อยไปตาม (อำ)นาจ ปล่อย ปล่อยไปตามอำนาจของเพลง มันก็เต้นไปตามอำนาจของเพลงหรือจังหวะของเพลงแหละ อืม วิ่งโลดโดดเต้น สนุกสนานหาว่าเรื่องเป็นการสนุกมาก แต่ว่ามันเมื่อยตัวเองจนหายใจไม่ทัน หายใจหายคอไม่ทัน

 

บางรายถึงกับเป็นลมในขณะที่ไปเต้นรำทำเพลงอยู่นั้นก็มี ขึ้นไปดูลิเก ละคร อะไรๆ ดูอะไรแล้วเป็นลมไปในขณะนั้นก็มี หมดสติเป็นลมแล้วหมดสติไปเลย หมดสติ อ้า สติหมดไปแล้วก็หมดสตางค์ไปด้วยนะ ไม่ใช่ธรรมดา ค่าหมอที่จะมาแก้ไขให้หายใจฟื้นคืนมา มากดหัวใจให้มันเต้น แอ้ กดลงๆๆ บางทีก็เป่าจมูกบ้างอะไรบ้างให้มันกระตุ้นขึ้นมา หายใจงาบขึ้นมา ลืมตาเม่า(ลืมตาโพลง)ขึ้นมา คนที่เฝ้ารักษาจึงค่อยดีใจ เออ ลืมตาแล้วๆ หายใจได้แล้วๆ น่ะ เห็นเขาแสดงอยู่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เอาคนไข้ให้ฟื้นได้แน่ะ ฟื้นขึ้นมาได้จึงรู้เนื้อรู้ตัว

หายใจเข้าก็สบาย หายใจออกก็สบาย ปกติแล้ว เป็นไงสบายหรือยัง พยักหน้า เออ สบายแล้วๆ ก็รักษาความสบายนั้นไว้ต่อไป แล้วจะทำงานหนักๆ ต่อไป ทำงานหนักๆ ได้ต่อไปมันมีการดีดดิ้น เล่นละคร ฟ้อนรำ ไปได้กับเขาอีกอยู่อย่างงั้นแหละ แต่ว่าเวลามันจะวูบ มันเป็นโรควูบ เขาก็เรียกโรคเป็นลมกะทันหัน แบบนั้นเขาเรียกว่าโรควูบ วูบไปเลย ลืมหายใจเข้า ลืมหายใจออก วูบมันก็หมดสติ ความระลึกอะไรๆ ก็ไม่ออกหรอก หมดสติ ต้องอาศัยคนอื่นมาข่ม(กด)ที่หน้าอกให้ ข่ม(กด)บะ ข่ม(กด)บะ แก้คนที่วูบ ให้ลืมตาเม่า(ตาโพลง)ขึ้นมาแล้วก็หายใจ โอ้ นิ่งไป ตะกี้นี้ไปถึงไหน อ้า ไม่รู้ว่าไปถึงไหน มิดไปเฉยๆ น่ะ

คนที่มีสติแต่ปางก่อนมัน เทวดา เทวดาเป็นตัวอย่าง เทวดาไปเจอะดอกไม้ในวันสำคัญๆ ในงานสำคัญๆ เก็บดอกไม้ แล้วก็ตกต้นดอกไม้ ตกต้นลงมา มาสลบอยู่ที่พื้น อืม เวลาฟื้นขึ้นมา ถามว่าไปอยู่ไหน ทำไมถึงเงียบไปอย่างงั้น เอ มันไปเก็บดอกไม้อยู่สวรรค์นู้นแหนะ ไปเก็บดอกไม้ ตกจากต้นดอกไม้ กิ่งไม้พาหักลงมา สลบแน่ะ ไปเก็บดอกไม้อยู่เมืองสวรรค์นู้นแน่ะ อันนี้คนทำบุญ ที่ทำเป็นอย่างนั้น มีอารมณ์แบบนั้นเกิดขึ้น เป็นกุศล กุสะละ สติ กุสะลา ปัจจัย ให้เห็นอย่างงั้นว่าเราสลบไปช่วงประเดี๋ยวเดียวมันก็ไปไกลเหลือเกิน

ตัวของเราเองก็เคยสลบไปเหมือนกัน ถ้าหมายถึงผ่าตัดหน้าอกหรือที่ไหน ผ่าตัดถุงน้ำดี มันหนีจากร่างกายไปไหนพู้น(โน้น) ไปอยู่ที่อื่นหมดอ่ะ หมอทั้งหลายนั่งเฝ้าเราอยู่ ไม่หายใจ จะไปกดหัวใจก็ เกรงจะเป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมา ปล่อยให้เรานอนเงียบอยู่ในเตียงน่ะ ต่อมากว่าจะได้ยินเสียงคนภายนอก มาตั้งแต่ไกลนู้นน่ะ มาใกล้ๆ เสียงแสบหูมาก มาพูดกันจ๊อกแจ๊กๆ มาแต่ไกล ใกล้เข้ามาๆๆๆ จนถึงตัว ลืมตาขึ้น เขาอยู่รอบเตียงล้อมเรา ญาติโยมที่ไปเฝ้าไปดูไปแล ลืมตา ลืมตาเม่า(ลืมตาโพลง)มองเห็นอันนั้นอันนี้แล้ว เอา เอามือมาคลำที่ท้องที่ท้องตัวเองเขาผ่ายังไง เขาทำยังไง ผ่าแล้วเรียบร้อยแล้วๆ นั่นน่ะ เขาก็ว่าตอบมา อ๋อ หน้าท้องเราไม่เหมือนเดิม หนาแน่นมากจะเอาผ้าเทปหรือผ้าอะไรมาใส่หลายชั้น หลายชั้นรัดท้องไว้ ผ่าท้องแล้ว เฮ้ย มันเป็นยังไง อ้า คนทุกคนคงเหมือนกันแหละ เหมือนกันทุกคน มีการสลบไป มีการตายไปสักชั่วขณะหนึ่ง ไม่มากหรอก แวบเดียวเท่านั้นแหละ เป็นตั้ง ๕ ชั่วโมง ไปแวบเดียวเท่านั้นแหละ ฟื้นขึ้นมา ลืมตาขึ้นมา ดูนาฬิกาได้ ๕ ชั่วโมง แล้ว ตั้งแต่ผ่าตัดมา

อ๋อ ไปเที่ยวอยู่ไกลน่ะ หลวงพ่อพุธ(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) ท่านมาเยี่ยม ท่านได้ยินข่าวเรามาเยี่ยม ออกมาคุยกับท่าน อ้า มานั่งคุยกัน ไปอยู่ไหนนานๆ ไปอยู่ไหนนานๆ ไม่ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนที่แห่งนั่นเป็นที่นุ่มนิ่มไปหมด ที่นั่งก็นุ่ม ที่นอนก็นุ่ม ไม่มีแสงแสลงตา สีอ่อนอะไรหรอก แต่ แต่ว่านวลไปหมดในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรปิดบังเลย โล่งไปหมด อ้า นุ่มนิ่มไปหมด อืม หลวงพ่อท่านตอบว่า นั่นล่ะ เรียกว่าพรหมโลก อืม ถ้าไปอยู่ที่นั่นก็เป็นพรหมโลกแล้ว อืม ถ้าไม่กลับคืนมาก็อยู่พรหมโลกนู้นล่ะต่อไป โอ้ ตกใจ มันเป็นอย่างนั้นเหรอพรหมโลก คุยธรรมะธัมโมกันอยู่ในห้อง ในห้องผ่าตัดนั่นแหละ เขาปูพรมในห้องรับแขก ปูพรมไว้

คุยกันไปคุยกันมาประเดี๋ยว กราวมา กราวมาทางอากาศเอา ตกลงพื้นใส่ผืนพรมสีแดง เป็นเม็ดๆๆๆ เท่าเม็ดข้าวโพดก็มี เท่าเม็ดอะไรมี กราวเป็นเม็ดๆ พื้นพรม เขาก็ตกใจอะไรล่ะกราวลงมา เข้าไปเก็บมาดู เก็บมาดู เป็นพระธาตุ พระธาตุเสด็จมา เออ เสด็จมาจากทางไหนเราก็ไม่รู้ล่ะปะเนี่ย แปลก เขาก็ไปเก็บรวบรวมไว้ เก็บรวบรวมใส่กระปุกไว้ได้หลาย ขนาดไหนไม่รู้อ่ะ นั้นมันเป็นอย่างงั้น

พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก นิรยโลก โลกมนุษย์มี โลกสวรรค์มี พรหมโลกมี มีอยู่ในโลกนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งอกตั้งใจ ทำอะไร ทำจริงลงไป อย่าไปทำเหลาะๆ แหละๆ ตั้งใจจริง จะภาวนาให้มันสงบจริงๆ ให้มันถึงความสัญญี เอาสัญญีแน่ะ อ้า อสัญญีพู้น(โน้น)ล่ะ บ่ยินดี ชมสื่น(คำชม) บ่ต้องตื่นโมทนา มันเรื่องอะไร มันเงียบลงไป เป็นอสัญญีภาพ เออ เพราะอย่างงั้น การแสดงธรรมวันนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย เอาเบื้องต้นแค่นี้ก่อน สิ่งอื่นที่จะพูดจากันอยู่อีกก็มีอยู่ เออ อันนี้เบื้องต้นของยอดภาวนา เผื่อตั้งใจอยากให้ใจมันเป็นอย่างงั้น ตั้งใจอยากให้มันเป็นหนึ่งอย่างเดียว ไม่มี ๒

เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์อันเดียวแค่นั้น ไม่ต้องกลัวว่าลงไปตกนรกหมกไหม้อะไร ถ้าใจเป็นอย่างงั้น ไปสวรรค์อย่างเดียว ไปสวรรค์อย่างเดียว ไปพรหมโลกอย่างเดียว มีอายุยืนยาวมากอยู่ในพรหมโลก เป็นหมื่นๆ ปีนู้นล่ะ ไปอยู่มันเป็นมันจนเหนื่อย จนประมาทขึ้นอีก ประมาทขึ้นมาก็เป็นหนทางนำมาซึ่งความทุกข์ ถ้าประมาทจะเป็นหนทางนำมาซึ่งความทุกข์ ความทุกข์จะมาหาตัว

นิระยายูปะกัฑฒะติ

ยังกิญจิ สิถิลัง กัมมัง

สังกิลิฏฐัญจะ ยัง วะตัง

สังกัสสะรัง พ๎รัห๎มะจะริยัง

นะ ตัง โหติ มะหัปผะลันติ

 

เออ เพิ่นว่ามีอานิสงส์ใหญ่ มีผลใหญ่จริงๆ ทำความใจให้สงบได้ นั่นน่ะจึงจะไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่ไหนๆ ฟังคำบรรยายที่ไหนๆ ก็ทำใจให้เป็นหนึ่ง ไปฟัง อย่าส่งไป ๒ ๓ อารมณ์อย่าไป ให้ใจเป็นหนึ่งอยู่เรื่อยๆ ฟังคำบรรยายได้ชัดแจ้งแล้ว ทุกเนื้อถ้อยกระทงความ เนื้อหาสาระทั้งหลายใจมันบันทึกเอาหมด บันทึกเอาความเป็นหนึ่งลงได้ เขาเรียกว่า ภาวนาเป็นหนึ่ง เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์มีจิตดวงเดียว มีความรู้อันเดียว อ้า ให้มันได้อย่างนี้ทุกวันๆ เด้ ว่าแต่พรหมโลก เพิ่นจะไปล่ะกัน ไปพรหมโลกได้ ขอให้กำหนดจดจำนำไปประพฤติปฏิบัติลองดู ก็จะเห็นความแปลกประหลาดของการนั่งสมาธิภาวนา มีผลอย่างนี้ อานิสงส์ใหญ่ เออ เพิ่นว่าอานิสงส์ใหญ่จริงๆ ผลใหญ่จริงๆ มรรคผล นิพพาน มันอยู่ที่นี่ ทำให้เกิดสุข บรมสุข เราไปแสวงหาความสุขในการออกกำลังกาย ในการดีดดิ้นเล่นกีฬาอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ความสุขอันแท้จริงหรอก สุขสนุกแต่ว่ามันทุกข์ถนัด สุขจริงๆ แต่มันทุกข์ถนัด

ถ้าพักยกแล้วหอบอยู่ โงกเงกๆ อยู่ พัดลมอยู่วูบวาบๆ พัดลมพัดไม่ทัน ดึงใบพัดลมลงมา มาพัดเจ้าของ ดึงมันลงมา เอามาพัดตัวเอง เออ จึงค่อยมีความสบายขึ้นมาอย่างงั้นแหละ อ่ะ ความ อ้าสุข พ้นทุกข์ พ้นความทุกข์ มันสุขแค่นั่นแหละ แม้ อ้า เออ มันเปิดไฟแดงแล้วนะ เปิดไฟแดงแล้วนะ อืม เอาแค่นี้เสียก่อนสำหรับวันนี้งานอย่างอื่นก็ยังมีอยู่ งานอย่างอื่นก็ยังมีอยู่ งานรวบรวมอะไรต่ออะไรยังมีอยู่ จะจำแนกแยกแยะกันยังไง มีการสงเคราะห์อะไร มีกะเป้ากันไว้ มีการสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธจะรวบรวมเป็นเจ้าภาพศรัทธา กองทุนสงฆ์อาพาธร่วม ร่วมกันมีการพัฒนาอะไรๆ ร่วมกันหมู่ใหญ่ เห็นคนหมู่ใหญ่อย่างนี้ ถ้าพร้อมเพรียงกันทำย่อมสำเร็จ

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี สะมัคคานัง ตะโป สุโข

สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา

 

ความพร้อมเพรียงของชนหมู่ใหญ่ ยังความเจริญให้สำเร็จขึ้นในโลกตั้งแต่สมัย ไม่ได้พุทธกาลหรอก สมัย อ้า ตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ มา ท่านเอาความสามัคคี ความพร้อมเพรียงของหมู่ นำความเจริญมาสู่ประเทศชาติบ้านเมือง สามารถนำรถฟืนรถไฟเข้ามาวิ่งในเมืองไทยได้ สามารถพัฒนาไฟฟ้า น้ำประปาอะไร ให้มันนำสมัยเขาทุกอย่าง เกิดความสะดวกสบาย แต่ความสะดวกสบายนั้นก็ยังไม่เพียงพอ โอ้ หนทางสัญจรใหม่ๆ ยังแออัดยัดเยียด รถติดกันเป็นพรวนทีเดียว อ้า พัฒนายังไม่ถึงที่ อ้า มันก็ติดกันไปค่อยคลานไปอยู่อย่างงั้น มีงานด่วนเร่งๆ ด่วนๆ งานเร่งด่วนอยากจะไปให้ทันนี่ล่ะ เฮ้ย ไปด่าคนอื่นเขาเว้ย เอ้า เหล่านั้นมาเกิดและอาจจะเบียนกันอยู่ในโลกอันนี้ อ่ะมันต้องเป็นอย่างงี้แหละ พัฒนาให้มันสมใจได้ทุกอย่างมันก็ไม่มีทุน ไม่มีทุนที่จะพัฒนาให้ได้สมปรารถนา อ้า สมความตั้งใจมุ่งมาดปรารถนา อยากให้มีรถฟืนรถไฟวิ่งขวักไขว่ไปมาได้ อ้า วิ่งสวนทางกันได้ ๒ คัน แค่นั้นก็ยังไม่พอใจอีก ยังคอยเวลากันอยู่ หนทางขยายแล้วขยายอีกอยู่อย่างงั้น แต่ ตั้งแต่จักรยานมาก็ให้มันหลีกกว้างขวางออกไป มาทางซ้าย มาทางขวา ให้หลีกกันได้ ๒ เลน ๓ เลน ๔ เลน

 

ก็ยังติดข้องกันอยู่นั้นเอง อ้า เพราะว่าเนื้อที่ประเทศของเรา เมืองหลวงของเรามีเนื้อที่คับแคบขนัด เพราะคนมันล้นโลกแล้ว ล้นโลก ประเทศไหนๆ ก็เหมือนกัน ล้นโลกล้นแผ่นดิน มันหลายชาติแล้วมาเกิดในโลกนี้ มีจำนวนมากแล้วเลยจะมาจัดการขยายสถานที่ให้มันกว้างออกไป มันก็ไปกินเนื้อที่ของผู้อื่นเขา ไม่ได้เป็นถึงนักเสียสละ ถ้าเป็นนักเสียสละแล้ว อ๊ะ ขยายได้เลย ขยายไปเลย เออ เออ ไม่ต้องห่วง เนื้อที่ของข้าพเจ้ามีน้อยเดียว เอาหมดแหละ ยกถวายเป็นการกุศลซะให้รัฐบาลพัฒนาให้เต็มที่ซะ อย่างงี้ อ้า นั่นเขาเรียกว่าอ่ะล่ะ กิจการกิจกรรม กิจกรรมทำกันมากมายก่ายเกิน ถึงจะขับ ขยับขยายวันเดียวครั้งเดียว ให้มันได้สมปรารถนามันเป็นของยาก

ส่วนกิเลสอยู่ในหัวใจเรานี่มันขยายของมันเอง มีความโลภ มีความโกรธ มีความหลง มีความรัก มีความชัง มีความอิจฉา มีความริษยา พยาบาท อาฆาต จองเวร อยู่ในหัวใจของเรา ไม่ได้พัฒนามันหรอก มันเกิดเองมัน อ้า อ้า

เรามาปฏิบัติธรรมก็เพื่อมาเลือกเฟ้น สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและส่วนรวมให้มาก ให้ความไกลออกไป ให้นำสมัยและก็ใหม่เสมอ อ้า สะดวกสบายทุกกาลเทศะ ดังนี้เป็นตัวอย่าง อ้า เอาล่ะพอเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วทุกคนแหละ

 

จิตตัง ทันตัง สุขาวะหัง

จิตที่ฝึกแล้ว นำสุขมาให้

 

ทันโต เสฏโฐ มะนุสเสสุ

ในหมู่มนุษย์ คนที่ฝึกแล้วประเสริฐสุด

 

นัตถิ สันติปะรัง สุขัง

สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

 

 

ตายะนะคาถา

 

นิระยายูปะกัฑฒะติ

ย่อมหน่วงเหนี่ยวไปสู่นรกได้

ยังกิญจิ สิถิลัง กัมมัง

อันการงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ย่อหย่อน

สังกิลิฏฐัญจะ ยัง วะตัง

และข้อวัตรปฏิบัติที่ยังเจือด้วยความเศร้าหมอง

สังกัสสะรัง พ๎รัห๎มะจะริยัง

พรหมจรรย์ที่ยังต้องระลึกด้วยความรังเกียจใด

นะ ตัง โหติ มะหัปผะลันติ

ทั้ง ๓ อย่างนี้ ย่อมไม่เป็นการมีผลยิ่งใหญ่แล

 

สุขา สังฆัสสะ สามัคคี

ความพร้อมเพรียงของหมู่ ให้เกิดสุข

 

สะมัคคานัง ตะโป สุโข

ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงกัน ให้เกิดสุข

 

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ธรรมบท

อุทาน อิติวุตตกะ สุตตนิบาต

คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ ข้อ ๒๔)

 

สัพเพสัง สังฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา

ซึ่งสมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์

ทรงผูกขึ้นแปลได้ความว่า

“ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ยังความเจริญให้สำเร็จ”

 

สัญลักษณ์ของความสามัคคีนั้นเห็นได้จากการ

ประดิษฐานตราแผ่นดินที่มีคาถาภาษิตว่า

“สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฒิสาธิกา”

ซึ่งแปลว่า ความพร้อมเพรียงของคนทั้งปวง

รวมกันเป็นหมวดหมู่ด้วยความสามัคคี

เป็นเครื่องทำความเจริญให้สำเร็จ

อยู่ที่เสาทั้ง ๔ มุมของพระบรมรูปทรงม้า

ในขณะที่ชาติไทยกำลังถูกล่าเป็นเมืองขึ้น