หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
ชมรมกลุ่มพุทธธรรมลานทอง
วันเสาร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๗.๔๕ น.
ณ ที่พักสงฆ์ หมู่บ้านลานทอง
อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
การฟังเทศน์ ก็คือการศึกษาเหมือนกัน เพื่อนำไปประพฤติปฏิบัติตัวของตัวให้ถูกต้อง ไม่ได้ฟังแล้วก็โยนทิ้งเฉยๆ ฟังไปแล้วไม่เข้าอกเข้าใจก็โยนทิ้งไป มีความสงสัยในข้ออรรถ ข้อธรรมใดๆ ก็ถามครูบาอาจารย์ได้ ถามหลวงปู่ได้ ถ้าสิ่งใดเราแก้ได้เราก็แก้ สิ่งใดแก้ไม่ได้ก็ส่ายหัว โน(no ปฏิเสธ)ๆ ไม่รู้เรื่อง สิ่งใดแก้ได้ก็ โนพลอมแพลม(no problem ไม่มีปัญหา)โน่น สบายมาก เออ
เอ้า ตั้งใจเด้อ จะเทศน์อะไรดีเน้อ เมื่อวานซืนนี้ไปเทศน์ที่เมืองชลบุรี เมือง เออ ระยอง นำเรื่องนิทานบางอย่างมาเล่าให้ฟัง เงียบกริบเลย ตั้งใจฟังดีที่สุด คนเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ นั่งเงียบ ปานว่าไม่มีคนเลย แต่ว่าเป็นนิทานจีน เป็นหนังจีน ได้เล่านิทานให้เขาฟัง เรื่องหนังจีน เป็นคนยากคนจนแต่ว่าเผอิญบุญมาพาส่ง มาก็ได้กลับกลายเป็นราชินีขึ้นมา ได้เป็นลูกสะใภ้หลวงขึ้นมา ดังนั้น
กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง
อิมัสสะ ธัมมะปะริยายัสสะ อัตโถ
สาธายัสมันเตหิ สักกัจจัง ธัมโม โสตัพโพติ
อนุสนธิพระสัทธรรมเทศนา มีบุพพาประ สืบเนื่องมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้มาแล้ว ประกาศพระศาสนาเขาประกาศเรื่องทาน ศีล ภาวนา นี่ออกมาแล้วให้ประชาชนได้รู้พระรัตนตรัย ให้รู้คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ก็ให้รู้ ถ้าประพฤติปฏิบัติตามได้แล้วก็ อย่างเคร่งครัดไม่ขาดตกบกพร่อง เรียกว่าพระไตรสรณคมน์ อย่างน้อยก็ได้มรรคผล นิพพานขึ้นมา เป็นโสดาบันบุคคล เป็นสกิทาคา(มี) เป็นพระอนาคา(มี) เป็นพระอรหันต์ เป็นมาโดยตามลำดับ พระพุทธเจ้าเพิ่นแสดงว่า มันจะแจ้งแดงแจ๋ ดีกว่าเอามาคุยกันเฉยๆ ผู้พร้อมไปด้วยการประพฤติปฏิบัติ พร้อมด้วยอานิสงส์การรักษาไปพร้อมๆ กันด้วย ถ้ารักษาได้ ไม่ขาดตกบกพร่อง สมบูรณ์ ได้ความภาคภูมิใจตัวเองด้วย เรียกว่าพ้นจากอบายภูมิ ไม่ตกนรก หมกไหม้แล้ว ได้ถึงพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ และก็จริงจัง ไม่มาถือมาเหลาะๆ แหละๆ อยู่ แม้แต่
ปาณาติปาตา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
ข้อต้น ก็ไม่มีใครตียุงเลย อ้า อืม เว้นจากการฆ่าสัตว์ทุกชนิด พวกริ้น ยุง มด ปลวก มาไต่ตอมยังไง เป่าเอาๆ อย่าให้เขาตายด้วยเจตนาอย่างเนี่ย ถ้าฟังให้ซาบซึ้งน่ะ มันซาบซึ้งถึงใจ ตัวเราประพฤติยังนอกลู่นอกทาง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม้ตั้งแต่อาหารการกิน ก็มีแต่เบียดเบียนเขามาทั้งนั้น อยู่ในท้องตลาดที่ผ่านมาทั้งหมด ถ้าเป็นของสวน ของสวนของไร่เรา เป็นพืช ผัก ผลไม้ต่างๆ ได้มาจากความบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่ก็ภาคภูมิใจอยู่ ถ้าไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เอามาวางตลาดขาย ทุบหัวเขามา ตีหัวเขามา หักขาเขามา หักฟันเขามา หักแข่ว(ฟัน)เขามา หักเงี่ยงเขามา หรือตีหัวให้ตายแล้วจึงเอามาเข้าตลาด อย่างนั้นก็เรียกว่าเป็นทุจริตอยู่ เป็นศีลทุจริตอยู่ ไม่ได้ศีลบริสะ... บริสุทธิ์สะอาด ถ้าศีลบริสุทธิ์สะอาดแล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม้แต่มดดำ มดแดง ริ้น ยุง มด ปลวก ทั้งหลายทั้งปวง น้ำผึ้งที่เอามาถวายนี่ เขาก็ได้จากการเบียดเบียนทั้งนั้นล่ะ เบียดเบียนเขามา ไปปล้นเอารังเขามา และก็ได้เอาน้ำมาปั้นแล้วก็เอามาขาย แน่ะ และยังเบียดเบียนเขาอยู่ แต่พวกเราถือศีล ๕ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ต้องฆ่าสัตว์เหล่านี้ก็ได้ หา เอาน้ำผึ้งบริสุทธิ์จากตลาดมาเลยเขามีตั้งเรียงขายไว้อยู่มากมาย แต่ว่าเขาจะได้มาด้วยวิธีอะไรก็ไม่รู้ แต่ว่ารู้แต่อยู่ในขวดว่ามันบริสุทธิ์ดี แม้แต่พระก็ยังรับประเคนได้นะ แต่มีอายุอยู่เพียง ๗ วัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล
อืม บักพริก(พริก) บักเขือ(มะเขือ) เหล่านี้ไม่มีอายุถึงขนาดนั้นหรอกวันเดียว รับประเคนได้วันเดียวก็หมดอายุแล้ว วันพรุ่งนี้ก็เอามากินอีกก็ไม่ได้อีก พริกเกลือทั้งหลาย ผักทั้งหลาย ฟักแฟงแตงน้ำเต้าทั้งหลายก็ดี รับประเคนไว้แต่เช้า กินได้ไปฮอด(ถึง)ถึงเที่ยง ถ้าเลยเที่ยงไปแล้วก็เป็นของญาติของโยมไป ญาติโยมเป็นผู้รับเศษไป ไม่ต้องเอาเก็บขนกลับไปวัดแล้ว ของเหล่านี้ของประเคนแล้ว อย่างนี้เป็นตัวอย่างอ่ะ ต้องเคร่งครัด ประพฤติปฏิบัติเพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเองจริงๆ อย่านำไปเป็นสมบัติของตัว
สมบัติของสงฆ์ เอาไปได้ถ้าเป็นอาหารที่รับประเคนแล้ว ท่านเอาออกมาอย่างงี้ เราก็เอากลับบ้านไปให้ลูก ให้หลานกินได้ ถ้าของที่ยังไม่ได้ประเคน มันเอามาวางไว้เฉยๆ หิ้วกลับบ้านไป อันนี้จึงเป็นหนี้สงฆ์น่ะ เฮอะๆๆ เป็นหนี้พระสงฆ์ พอบอก
(อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ,) ภิกขุสังฆัสสะ,
โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ,
อิมานิ ภัตตานิ, สะปะริวารานิ,
ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง,
ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายภัตตาหาร กับสังฆทานทั้งหลายเหล่านี้ แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์ จงเมตตารับ ถ้าพระคุณเจ้ามีพระธรรมวินัย ท่านก็
อปโลกน์
กันซะก่อน
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ,
อะยัง ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ,
อะวะเสสา ภาคา อัม๎หากัง ปาปุณันตุ,
ภิกขู จะ สามะเณรา จะ คะหัฏฐา จะ,
(ยะถา)สุขัง ปะริภุญชันตุ
แม้แต่คฤหัสถ์ ก็บริโภคได้ ฉันได้ กินได้ นี่เพิ่นอนุมัติ เพิ่นมีข้ออนุโลมอยู่ ไม่ได้เคร่งครัดจนว่า ไม่ให้คนอื่นน่ะ ถ้าพระไม่มีคณะสงฆ์อื่นอปโลกน์ให้ ท่านว่าให้เอาไปฝังดินน่ะ อย่าให้ผู้อื่นได้กินอีกต่อไป มันเป็นของสงฆ์แล้ว เออ แต่ว่าพระธรรมวินัยมีการผ่อนปรน หย่อนยานให้ ให้มีภิกษุผู้ฉลาดองค์หนึ่งเป็นผู้กล่าวคำอปโลกน์ เรียกว่า อปโลกนวกรรม
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ,
เอโส ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ,
อะวะเสสา ฯ
เหลือจากนั้นก็ภิกษุอื่น สามเณรอื่น
อัม๎หากัง
ก็ว่าไปจบบท จนจบหมดแล้ว ภิกษุสงฆ์ สาธุ แล้วก็ลงมือฉันได้เลย ให้พรซะก่อนแล้ว ให้พรซะก่อน ให้พรจบแล้ว พระคุณเจ้าตักข้าวใส่บาตร ใส่ภาชนะของตัวเองซะแล้ว ถ้าพอสำหรับพอกินหมด เหลือกว่านั้น อืม ก็เป็นของญาติโยม ญาติโยมก็ตักเอาเลย แบ่งกันไปเลย ถ้าตักเอาคนเดียวกลับบ้านเลยอย่างนี้ก็แย่อยู่นะ เห็นอยู่ในหม้อเต็มหม้อก็หิ้วไปเลย กลับบ้านเลยอย่างงี้ เพราะว่าไม่เสีย... ไม่เฉลี่ยเจือจาน ไม่แบ่ง ไม่ปันผู้อื่น เรียกว่ากินของสงฆ์ ไม่รู้จักกลัว
ของที่ทำวินัยกรรมอย่างดีแล้ว ท่านอปโลกน์ให้แล้ว ไม่ได้เอาไปไหนก็ได้ ให้ใครก็ได้ แต่ต้องให้กินได้ทั่วถึงทุกคน ทุกคนได้กินด้วยกัน บริโภค อุปโภคบริโภคด้วยกัน นั่นจึงเป็นของสงฆ์แท้ เป็นสาธารณประโยชน์ เป็นของที่แจกกันได้ก็แจกกันได้ ของที่แจกกันไม่ได้ เช่นว่าอย่างนี้ เขาถวายพระพุทธรูปมา หรือพระธาตุมาอย่างเนี่ย เขาต้องการอยากให้ไปใส่เจดีย์ เป็นของสงฆ์ อย่างนี้เป็นของแจกกันไม่ได้ ของใดเป็นครุภัณฑ์ เป็นครุภัณฑ์แจกกันไม่ได้ ให้ถือว่าเป็นของสมบัติส่วนกลางของสงฆ์ เป็นอย่างๆ ไป ถ้าเล่าเรียนศึกษาให้เข้าใจแล้วจะรู้เอง โอ้ อันนี้มันเป็นของสงฆ์ของเส็ง อันนี้มันเป็นของวัดของวา จะนำไปเข้าบ้านเข้าช่องไม่ได้ เป็นครุภัณฑ์ก็ดี ลหุภัณฑ์ก็ดี ของอย่างนี้ก็ ถ้าเขาถวายเป็นสงฆ์แล้ว จะเอาถือเป็นสมบัติของส่วนตัวไม่ได้นะ เป็นของกลาง
(หลวงปู่เคาะโต๊ะ)
นี่ของกลาง ใช้สอยร่วมกันอย่างนี้ได้ ญาติโยมก็ใช้ได้ ใครก็ใช้ได้ แต่ให้มันอยู่ในกุฏิหลังนี้ แอ้ กุฏิหลังนี้ใช้ได้หมดทุกคน ใช้เสร็จแล้วก็ล้างให้สะอาดหมดจดซะ เก็บเข้าที่เข้าทางไว้ เรียกว่ารักษาของสงฆ์ เรียกว่ารักษาครุภัณฑ์ ลหุภัณฑ์ ของสงฆ์ไว้จะได้ใช้สอยต่อไปนานเท่านาน
(หลวงปู่เคาะโต๊ะหลายครั้ง) ของเหล่านี้มันเป็นของหนัก เป็นโต๊ะ เป็นเตียง เป็นตู้ เป็นพระพุทธรูป เหล่านี้เป็นของหนักถ้าเอาเป็นของตัวเองไม่ได้เป็นอันขาด เป็นครุภัณฑ์ เป็น
ภัณฑไทย
ทำให้เป็นหนี้เป็นสินสงฆ์ นี่ก็ศึกษาไว้ เวลาครูบาอาจารย์ ผู้ เพิ่นรู้ เพิ่นก็บอกให้ศึกษาเอาไว้ อะไรๆ ก็
เก็บ กำ กอบ โกย
เอาเป็นสมบัติของตัวไปหมดทุกอย่าง เรียกว่า เอาไฟไปเผาบ้านตัวเอง มันมีนิทานมาตั้งหลายสมัยแล้ว
นิทานไฟไหม้บ้านตัวเอง
ไฟไหม้ที่อยู่ที่อาศัยของตัวเอง เพราะเอาของสงฆ์ไปไว้ในนั้น เอาเป็นสมบัติของตัวอยู่นั่น เป็นถ้วย เป็นจาน เป็นหม้อ เป็นไหของสงฆ์แท้ๆ เอาไปเก็บไว้เป็นส่วนตัวอย่างงั้น ไม่ถูกต้องอีกแหละ ก็ต้องใช้เป็นส่วนกลาง ให้เป็นสมบัติของส่วนกลาง
ของสงฆ์ แปลว่าส่วนกลาง เป็นสมบัติกลาง
เออ เป็นสังฆทานมาก็ดี เป็นกฐินมาก็ดี เป็นผ้าป่ามาก็ดี ของครุภัณฑ์ เป็นของหนักและเป็นของครุภัณฑ์
ลหุภัณฑ์ของเบา
ครุภัณฑ์ของหนัก
ถ้าเอาของหนักไปเป็นสมบัติของส่วนตัว ถือเป็นประโยชน์ส่วนตัว อยากจ่ายก็จ่าย อยากใช้ก็ใช้ อยากทำอะไรก็ได้ทำอย่างงั้น ก็เรียกว่าไม่รู้จัก ครุ ลหุ ครุภัณฑ์ไม่รู้จัก ไม่รู้จักลหุภัณฑ์ ครุภัณฑ์ ใช้เป็นสิทธิ์ส่วนตัวขึ้นมาอย่างนี้ ก็เรียกว่าทำบาปแก่ตัวเอง
กุฎิหลังนี้ก็เหมือนกัน กุฎิหลังนี้ว่าถวายเป็นสงฆ์แล้ว ถวายเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว ถ้าจะมาขายอีกเอาเงินเข้ากระเป๋าเอง เอาไฟไปเผาตัวเองแล้วปะเนี่ย ถ้าขายแล้วเอาไปใช้เป็นส่วนตัว เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เรียกว่าเอาไฟไปเผาบ้านตัวเองแล้ว ของสงฆ์ เอาของสงฆ์ไปขายแล้วก็เอาสมบัติใส่กระเป๋าตัวเอง ไป นั่นแหละมันเป็นไฟ ไหม้กระเป๋าตัวเอง ถ้าไปอยู่บ้านก็อาจจะไหม้บ้านตัวเอง อย่างใด อย่างหนึ่ง ก็ไปไหม้ไปด้วยกันรวมกัน ถ้าหากว่าเอาของสงฆ์ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ต้อง
ขอบิณฑบาตด้วย
ให้รู้จักครุ ลหุ เรารับผิดชอบสมบัติของสงฆ์ ต้องเคารพสมบัติของกลาง ของกลางก็เหมือนดังของรัฐบาล อะไรเป็นสมบัติของรัฐบาล เป็นของกลาง ส่วนรวมร่วมกันทั้งประเทศ ถ้าไปถือเอาสมบัติสิ่งอย่างนั้น อย่างใด อย่างหนึ่งนั้น มาเป็นสมบัติส่วนตัว ก็ชื่อว่าเป็น ไฟเผาตัวเอง ซื้อรถมาก็ไม่บริสุทธิ์ อาจจะถูกรถชนเกิดเผาขึ้นมาเองก็ได้ เผาตัวเอง เองก็ได้ เออ นั่นแหละ ให้รู้จักว่า ของนี่มันเป็นของกลาง เราใช้ของกลางก็ใช้ให้เป็น ถ้าใช้เป็นก็ไม่มีโทษ ถ้าใช้ไม่เป็นมันก็เกิดโทษตามภายหลัง ถ้าเอาเงินหลวงหรือของหลวง ไปๆ ซื้อรถมา มาเป็นสมบัติส่วนตัวเหล่านี้ เออ ไม่นานล่ะ รถคันนั้น มันเป็นของสงฆ์ ของกลาง ของรัฐบาล เอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวฝ่ายเดียว ไปให้เขาเช่า รับจ้าง รับวานเขา เหมาไปที่โน้น เหมาไปที่นี่ เอาของสมบัติส่วนกลางไปทำแบบนั้น เรียกว่าทำให้ มันไหม้ มันหมองตัวเอง ทำให้มันเกิดร้อนตัวเอง ของกลางสงฆ์ ของสงฆ์ ยกให้สงฆ์แล้ว ก็อย่าแหยมมาเป็นของตัว จะไปขายบ้านหลังนี้เอาเข้ากระเป๋าตัวเองทำเป็นกองทุนอย่างอื่นซะ ไปค้าไปขายหาเบี้ยกำไรไปเรื่อยๆ ทำนองนี้ก็เรียกว่า เป็นคนมักง่าย ไม่พิถีพิถัน ไม่มีพิธีรีตอง พิถีพิถันอะไรเลย ต่อรักษาสมบัติของกลางสงฆ์ให้เที่ยงแท้แน่นอน เป็นสมบัติของสงฆ์อยู่อย่างนั้น ก็ยกให้วัดไปแล้ว ยกให้สงฆ์ไปแล้ว ดังนี้เป็นตัวอย่างนะ ถ้าไปขายบ้านหลังนี้ แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋าหนีไป ย้ายบ้านไปที่อื่นน่ะ เอาไฟติดตามตนไป ขายได้เงินแล้วเอาใส่กระเป๋าตัวเองไป นั่นเอาไฟติดตามตัวเองไป กระเป๋าก็เดือดร้อนขึ้นมา
มันไม่ ไม่แม่นบ่เกินถง(กระเป๋า)แล้ว
เงินไม่ ไม่อยู่ในถง(กระเป๋า)
ไฟ เอาไฟใส่ตัวเองไป สงฆ์ก็ให้มันเป็นสงฆ์ไปเรื่อยๆ ถ้ามีดอกผลอะไรเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้ ก็ให้เป็นสมบัติของบ้านหลังนี้ หลวงปู่ก็เป็นผู้มารับผิดชอบเหมือนกัน หลวงปู่จะเอาสมบัติของ กุฏิหลังนี้หนีติดไป ก็เอาของ เอาของร้อนติดตัวไป แน่ะ เข้าใจไหม เออ แน่ะ เป็นของร้อนติดตัวไป เกิดอุบัติเหตุต่างๆ นานาเกิดรถชนกัน หรือว่าเกิดไฟไหม้รถไหม้ลา ไม่ดี หากมีของสงฆ์ติดมาในนั้น อย่างนี้เทศน์เป็นสาธารณประโยชน์ไว้ก่อน ให้เข้าใจทุกคน บ้านหลังนี้เป็นสมบัติของส่วนกลาง เพราะถวายเป็นสงฆ์แล้ว ถวายให้วัดแล้ว ถ้าพระคุณเจ้ามาจากทางอื่น ไม่ต้อนรับ ไม่เปิดรับ นอกจากหลวงปู่แล้วจึงจะเปิดรับ อย่างนั้นไม่ ไม่เป็นของสงฆ์ ถ้าเป็นของสงฆ์ก็เปิดเป็นสาธารณะ พระคุณเจ้ามาจากจตุรทิศทั้ง ๔ ก็จงมาพักพาอาศัยได้ในที่นี้ ถ้ามีธรรมวินัยก็จงมาอยู่อย่างเป็นสุขเถิด ถ้ามาพัก ณ ที่นี้ก็ซื้อเหล้า ซื้อยามา มาเล่นโบก(การพนันชนิดหนึ่ง) มาเล่นไพ่ เล่น อ้า อะไร ไฮโล ไฮเล อะไรอยู่ในที่แห่งนี้ เทวดาฮู้(รู้)หมดน่ะ เทวดาหัวเราะ เฮ้ยยังไงกันพวกนี้ แอบอ้างว่าเป็นของสงฆ์ แต่มาประพฤติทุจริตอยู่ในที่นี่ เรียกกันมาประชุมกันแล้วมาเล่นไพ่อยู่ในที่นี่ ถึงตำรวจมาจับแล้วเป็นยังไงปะเนี่ย ตายสิเรา เฮอะๆ เราผู้เป็นเจ้าของ เราก็ตายสิ เออ เราผู้ดูแลรักษาเดือดร้อน
เอาพระถ้าไม่มีธรรม ไม่มีวินัย กินเหล้า เมายา มาอยู่ที่นี่ ก็ไม่สมควรต้อนรับหรอก เขาไม่ได้สร้างถวายพระขี้เหล้ามาอยู่ที่นี่ มากินเหล้าเมายาที่นี่ มาเล่นการพนันอยู่ในที่นี่ ไม่ได้สร้างเพื่ออย่างนี้ สร้างเพื่อถวายสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ มีศีล มีธรรมจริงๆ ได้มาพักพาอาศัยสะดวกสบาย มาทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนจริงๆ เออ เป็นอย่างงั้น แม้แต่หลวงปู่อยู่โรงพยาบาล ไปอยู่โรงพยาบาลก็จริง แต่ว่าใช้ของเขาเป็นบางสิ่งบางอย่าง แต่ก็บางทีก็ได้ใช้หนี้สงฆ์ไว้บ้าง ทำเป็นผ้าป่า ทอดเป็นการกุศลไว้ให้ ทอดให้เป็นกองทุนมูลนิธิสงฆ์อาพาธครั้งละหลายๆ หมื่นน่ะ ไม่ใช่ธรรมดานะ ที่โรงพยาบาลเขาจัดให้ๆ เราก็ เออ นี่มอบให้เป็นกองทุนของสงฆ์อาพาธ สงฆ์ที่มาพักพาอาศัยที่นี่ ไม่มีพี่มีน้องที่ไหน อาศัยชาวบ้านมาเลี้ยงดูเฉยๆ เออ เอากองทุนที่เราตั้งไว้ให้นั่นแหละ จ่าย จ่ายในกิจการสงฆ์อาพาธ ค่ายารักษา ค่าหมอ ค่าอะไรก็แล้วแต่ เห็นสมควรและก็เอากองทุนที่หลวงปู่
ตั้งไว้ให้แหละเอามาจ่าย ไม่ใช่เก็บ กำ กอบ โกย ไว้เฉยๆ ไว้กินดอกเบี้ย ดอกเบี้ยเอาไปไหน เออ ดอกเบี้ยเข้ากระเป๋าตัวเอง แน่ะ เสร็จแล้วๆ อ้า เรียบ เฮอะ ว่ากินของสงฆ์โดยทางอ้อม มันเป็นโทษนะ
เพราะฉะนั้น กองทุนมูลนิธิสงฆ์อาพาธก็ต้องเป็นของกลางอยู่อย่างนั้น เป็นสงฆ์อาพาธอยู่อย่างงั้น มันจะออกดอกเบี้ยออกมาเดือนละเท่าไหร่ๆ ดอกเบี้ยนั้นเกิดดอกออกผลมาเท่าไหร่ก็สมทบเข้ากองทุนนั่นแหละ ออกมาได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ละปีนี้ ได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ก็สมทบเข้าเป็นกองทุนที่ใหญ่ กว้างออกไปๆ ถ้าหากว่าเรามีโอกาส อาจจะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติมต่อเติมไปอีกก็ได้กองทุนนั้น ถ้าสร้างเป็นกองทุนมูลนิธิของสงฆ์อาพาธจริงๆ ก็ขอให้มันเป็นประโยชน์เอนกประสงค์ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ให้เข้าใจไว้ ไม่ใช่ว่าเก็บมาดอกเบี้ยก็เข้ากระเป๋าตัวเอง ไม่ใช่อย่างงั้นนะ ไม่ใช่อย่างงั้น ถ้ามีกองทุนมูลนิธิขึ้นในที่ใดซึ่งเป็นของสงฆ์ อย่าไปเอาของสงฆ์มาเป็นของตัวเอง หลวงปู่ปฏิบัติอย่างจริงใจและจริงจัง ถามหมู่ ถามพวกดูก็ได้ เงินทุกบาททุกสตางค์ที่ไปเทศน์มาได้ก็ดี ไปบังสุกุลก็ดี ไปที่ไหนเขามาก็ดี เราก็รวมเข้าฝากเป็นกองทุนแห่งเดียวล่ะ กำลังสร้างเจดีย์อยู่เวลานี้ มันมีรายจ่ายอะไรบ้าง เจดีย์บ้าง มันไม่พออยู่เท่าไหร่เงินสงฆ์ ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นผู้จ่ายสั่งจ่าย เงินส่วนตัว เงินส่วนตัวเขาเก็บไว้ให้เท่าไหร่ๆ เอานั้นมาจ่าย มาจ่ายเพิ่มเติมให้เขา ๑๐,๐๐๐ ๒๐,๐๐๐ ๓๐,๐๐๐ ๔๐,๐๐๐ ก็แล้วแต่มัน มันจะมีเท่าไหร่แล้วของหลวงปู่ เอาใส่เลย ไปเลย เออ เป็นอย่างงั้น ทุกวันนี้ก็ยังทำประพฤติปฏิบัติอยู่ พอสร้างเจดีย์อยู่ สร้างเจดีย์ เงินบางอย่างเขาปวารณาไว้ว่า ให้ใช้ปัจจัยอันนี้เป็นค่าพาหนะ ค่าอาหารการกิน เขาก็บอกไว้อย่างงั้น แต่ว่าหากว่าเกิดมีการใช้จ่ายในทางสงฆ์เกิดขึ้น ถ้ามันไม่พอก็เดือดร้อนใคร
เดือดร้อนเจ้าอาละวาด
เจ้าอาละวาดเป็นคนจ่าย หึๆๆๆ
เออ ไม่ใช่ขอมาจ่ายแต่ตัวเดียวหรอก มีเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ละ ๑๐,๐๐๐ ๒๐,๐๐๐ ๓๐,๐๐๐ ถ้างาด(หยุด)ขาด มันไม่พอ ก็ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำประปา
อะไรก็เป็นหน้าที่เจ้าอาละวาด
เดือดร้อนกระเป๋าเจ้าอาละวาด
เออ เอาล่ะ ไม่ต้องเป็นหนี้เขา ไม่ต้องเป็นหนี้เขา จ่ายเขาซะให้ได้อ่ะ ค่าน้ำ ค่าไฟ จ่ายให้หมดซะ
หลวงปู่ไม่มีอะไร มีแต่ตัวล่อนจ่อน
ไม่มีอะไรที่จะมาหวงมาแหนในร่างกาย ไม่มีแล้ว
เป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ได้มาเยอะๆ แต่ละครั้งรถมาขนไป ผ้าไตรจีวร เครื่องบริขาร อัฐบริขารใดๆ มันก็บานเหมือนกันล่ะ เข้าในตู้กองกลางไว้ อย่าถือเป็นของเจ้าของ ถ้าถือเป็นของเจ้าของนั่นก็ต้องมา
วิกัปป์
ซะก่อน มาทำวิกัปปะ ซะก่อน ทำเป็นของ ๒ เจ้าของซะก่อน เขายกให้จึงได้ใช้ ถ้าเขาไม่ยกให้ ก็เรียกว่าเป็นของกลางอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป ดังนี้ก็มาประพฤติปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอยู่ ก็มีสักขีพยาน ลูกศิษย์ลูกหาพวกนี้ก็เป็นพยาน หรือจะหาเรื่องว่า หลวงปู่กินเงินก็ว่ามา ก็ลูกศิษย์ทั้งหลาย แต่ไม่รับรองความปลอดภัย ถ้ามาใส่ร้ายป้ายสีหลวงปู่ขึ้นมาอย่างงั้น ไม่ ไม่ปลอดภัย เพราะมันคันตรงนี้ขึ้นมา หึหึ มันอยากให้ตีปากเขาน่ะ เฮอะๆ ตีปาก ทำให้ปากไม่อยู่เย็นเป็นสุข เออ
ไม่เคยมี
ไม่เคยเอาของสงฆ์ไปเป็นของตัว
ไม่เคยจ่ายนอกลู่นอกทางแต่อย่างใด
แอ้ เป็นเจ้าอาละวาดอยู่ภายในวัดตัวเองก็ตาม ไม่มีสิทธิ์อะไรในวัดตัวของตัวเองเลย เป็นน้ำบ่อ เป็นก่อศาลา เป็นห้องน้ำ ห้องส้วม ค่าน้ำ ค่าไฟ อะไรเกิดขึ้นภายในวัด เป็นเจ้าอาละวาดเป็นผู้รับผิดชอบ เป็นผู้จ่ายเอง เออ แต่ ญาติโยมบางคนสงสารหลวงปู่ เขาก็ช่วย ช่วยค่าน้ำ ช่วยค่าไฟให้ ช่วยค่าจ้างอันนั้น อันนี้ให้ จ้างก่อรับเหมาเจดีย์กันอยู่เดี๋ยวนี้ ก็หนักใจอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน เมื่อมันขาดเกินอะไรก็เป็นหน้าที่ของเจ้าอาละวาด อ้า ที่จะเป็นพิจารณาและใช้จ่าย อันนี้ก็ผ่านไปๆ แต่ละปีๆ เออ เป็นอย่างงั้น ความเป็นมาของเจ้าอาละวาดหรือเจ้าอาวาส ต้องรับผิดชอบภารกิจภายในวัดวาทุกชนิด เออ อืม
ไม่เก็บ ไม่กำ ไม่กอบ ไม่โกย
ไม่โกงกิน ไม่กิน ไม่โกงหมู่ โกงพวก
เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
แม้ตั้งแต่ได้ไข่มาลูกเดียว ก็ต้องบิครึ่งหนึ่งให้หมู่ไป ครึ่งหนึ่งเราจะกิน อ้า ได้อะไรมาน้อยๆ แหน่ๆ ปลาตัวหนึ่งก็บิให้หมู่ไป ครึ่งหนึ่งเรากินหน่อยเดียวพอกินหมดแหละ เป็นอย่างงั้น เจ้าอาวาส เขาเป็นอย่างงั้นน่ะ เหมือนดังชาวบ้านเขาวางเลี้ยงลูก เลี้ยงลูกกำลังเรียน กำลังกิน พ่อแม่กินหมดแล้วทำไง ลูกจะว่ายังไง ลูกก็เลียปากอยู่เฉยๆ
(แสดงให้ดู)
ก็ให้ลูกได้กินอิ่ม ให้ลูกศิษย์ลูกหาได้กินอิ่มหนำสำราญทั่วถึง ดีใจ นอนหลับ ถ้าเป็นอย่างงั้นนอนหลับสบาย ถ้าลูกศิษย์ลูกหาอดๆ อยากๆ ตายแล้วหลวงพ่อ เป็นทุกข์ เป็นร้อนขึ้นมา เดือดร้อน มีอะไรของเรามีเท่าไหร่ ปัจจัยส่วนตัวเรามีเท่าไหร่ เอาไปซื้อมา ซื้อมาแจกเขา ให้เขาอิ่มหนำสำราญ อย่าให้เขาอดอยากปากแห้ง ปากแห้ง แขกที่มาเยี่ยม มาเยือน มีจำนวนกี่คนๆ ก็เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นผู้รับผิดชอบ แขกมาค้างที่บ้าน ที่วัด มีกี่คนๆ มีกี่ขบวน มันมีบางครั้ง บางสมัยมากันเป็นพรวน ต่างจังหวัด กรุงเทพฯ ก็มี เชียงใหม่ก็มี ลำปางก็มี แม่ฮ่องสอนก็มี มาฮอด(ถึง)ปักษ์ใต้ ไหลเข้ามาในงานวันเกิดหลวงปู่อย่างนี้ ก็เป็นหน้าที่ของหลวงปู่จะดูจะแล ญาติโยมก็รับผิดชอบช่วยด้วย ตั้งโรงทานไว้ให้เยอะแยะ อ้า ที่ผ่านไปนี้โรงทานมีอยู่ ๓๐๐ ได้ไหม ฮะ ๕๐๐ กว่าโรงทาน แล้วจะกินยังไง จะกินยังไง เจาะปาก เจาะปากซะ ก็ล้นนี่อีกเลย จะกินอีกเท่าไหร่ กินจนอิ่มหนำสำราญทุกคนให้ทั่วถึง เออ นั่น ต้องเป็นอย่างงั้นเจ้าอาวาส เป็นกำนันก็รับผิดชอบหมดทั้งตำบล เป็นผู้ใหญ่บ้านก็รับผิดชอบทั้งหมู่บ้าน เป็นครูใหญ่ก็รับผิดชอบทั้งโรงเรียน นั่นเป็น ผู้เป็นหัวหน้าต้องเป็นอย่างงั้น ก็เรียนมา เรียนรู้มาแล้ว เออ พ่อเคยเป็นผู้ใหญ่บ้าน ญาติพี่น้องก็เคยเป็นกำนัน ถ้าเป็นอย่างงั้นน่ะ มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งตำบล ตำบลนี้ถ้ามีการเดือดร้อนอย่างหนึ่ง อย่างใด หัวหน้าตำบลก็รับผิดชอบ หรือว่าบอกให้เพื่อนฝูงได้ช่วยเหลือกัน เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ถ้ามีเรื่องงานใหญ่ๆ โตๆ เกิดขึ้น มีการเป็นการตายเกิดขึ้น ก็ช่วยกันทั้งหมู่บ้าน แล้วจะเอาอะไรเลี้ยงกันล่ะ มีหลายๆ คนอย่างงั้น ก็เป็นหน้าที่ของหัวหน้าบ้าน เจ้าของบ้าน อ้า รับผิดชอบ ถ้ามีมากก็แจกให้ทั่ว ให้ถึง ถ้ามีน้อยก็ไปหาซื้อมา หาซื้อหาหามมา อาหารการกิน มันมีอยู่ที่ไหน เออ ไปหามา แต่ว่าทุกวันนี้สบายมาก เพราะมันมีตลาดทุกหมู่บ้าน ตลาดสดมีอยู่ทุกหมู่บ้าน มีขายทุกอย่าง ผักนางอางหญ่า ปู ปลา อาหารการกิน เขามีขาย ตาย แต่ตายแล้ว ตายมาแล้ว ไปซื้อเอาอย่างงั้นมาๆ มาทำหุงหากันขึ้น เลี้ยงแขกให้ อย่างนี้หัวหน้าครอบครัว หัวหน้าหมู่บ้าน หัวหน้าตำบล หัวหน้าอำเภอ ก็ต้องรับผิดชอบไปทุกหมู่บ้านเหมือนกัน เป็นถึงนายอำเภอแต่ไปรับผิดชอบแต่ครอบครัวของตัวคนเดียว ไม่ถูกต้องแล้ว แขกไปใครมา มาหาสู่ ก็ต้องมาอาศัยพึ่งพา อ้า ผู้ใหญ่บ้าน พึ่งพากำนัน พึ่งพานายอำเภอในอำเภอนี้ เขาจะเลี้ยงดูไหม เออ
อันนี้เราเป็นเด็กอยู่สมัยก่อน พวกไปสงครามอินโดจีน ขึ้นไปถึงสงคราม ไปถึงเชียงใหม่ ลำปางพู้น(โน้น)แหละ สงครามปะเนี่ยเขาเลิกทัพจับศึกกันแล้ว ญี่ปุ่นก็ถอยทัพไปแล้ว ไอ้เขาก็ผ่านมาทางหมู่บ้านนอก ไม่มีทางรถยนต์อย่างนี้หรอก ผ่านข้ามภู ข้ามเขามา แล้วก็มาถึงบ้านของเราเข้า เขาทำยังไง เขาว่าผู้ใหญ่ พวกผมเดินทางมาแต่สงครามกำลังหิว ผู้ใหญ่ช่วยคิดหน่อยดิ ทำยังไงพวกผมจะอิ่มท้องอิ่มไส้ เดินทางมา อดอยากปากแห้งมา อ่ะ ไปจัดการๆ จัดการเลย มีพ่อบ้านคนหนึ่ง เป็นคนมีวัวเป็นฝูงๆ วัวเป็นร้อยตัวเพิ่นล่ะ เขาก็บอกเอง เจ้าของวัวเขาบอกเอง อ่ะ เลือกเอาๆ เอาตัวไหนก็เลือกเอา เขาเอาปืนไปยิงเอาๆ แล้วก็มาปาด(ชำแหละ) ทำลาบ ...ตำกะแยง
เลี้ยงกับทหาร อุดมสมบูรณ์ บ้านของเราเป็นบ้านผู้ใหญ่ ก็เขาก็เอาจุดศูนย์ที่นั่นแหละ ที่นั่นก็แห้งแล้งพอสมควร มีอดอยากปากแห้งอยู่บ้าง เออ นี่เป็นตัวอย่าง เป็นนักเสียสละ เป็นหัวหน้าหมู่ หน้าพวกก็ดี
หนทางจากขอนแก่นถึงเมืองเลย เพราะพ่อของเราเป็นหัวหน้ากลุ่ม เป็นหัวหน้ากลุ่มตัดทาง ไม่มีกล้องนะ ไม่มีกล้องส่องทางหรอก เอาไม้มาตัดเป็นต้นๆ ไป เอาเล็งไป ตัดตรงไหนๆ มันตรงกันแล้วๆ ก็เลือก ใช้ได้ๆ ตรงแล้วๆ รื้อจากนั้นต่อไปอีก ก็ต่อให้ตรง เพิ่นก็เลยได้เอากล้อง เอากล้องสายตาเอา กล้องส่องทางก็ไม่มี ตั้งแต่เป็นขี้ฝุ่นมา หรือเป็นได้ทำเสร็จแล้วก็ขี้ฝุ่นล่ะปะเนี่ย วิ่งรถวิ่งลาคลุ้งไป ทางล้อ ทางเกวียน ก็ขี้ฝุ่นคลุ้งไปอย่างงั้นน่ะ แต่เดี๋ยวนี้เขาลาดยางไปหมดทุกสายแล้ว ทางนั้นไปจนถึง ถึงเมืองเลย จากอุดรฯ จนถึงเมืองเลย จากเมืองเลย ถึงนครสวรรค์พู้น(โน้น)ล่ะ ไปโลดล่ะ มีแต่ลาดยางไปทั้งนั้นสมัยนี้ สมัยก่อนน่ะเอาแต่สายตานี่แหละเป็นกล้อง ดูไม้ต้นนี้มันตรงกับต้นนั้น ต้นนี้ ต้นนั้น ถูกกับมันต้นนั้น ปักหลักไปเรื่อยๆ ตัดไปตามแนวนี้แหละ กว้างออกไปทางนี้กี่เมตรๆ หากไปถูกหน้าใคร ก็ไม่มีใครปฏิเสธ ถูกท้องไร่ ท้องนา ที่ดินของใคร ไปปฏิเสธไม่ได้ อันนี้เป็นทางหลวงของแผ่นดิน ไม่ใช่ทางหลวงของส่วนบุคคลหนึ่งคนใด เป็นสมบัติของแผ่นดิน ถ้าใครเกิดขัดข้องขึ้นมาก็ไปฟ้องร้องเอา เออ เฮอะ เออ เป็นอย่างงั้น
อันนี้ก็เคยผ่านการปกครอง มาหลายขั้นตอนอยู่เหมือนกัน มาบวชเป็นพระนี่ก็แล้ว ก็ไปกันอีกแล้วปะเนี่ย เป็นพระส่วนกลาง ไม่ใช่เป็นพระของส่วนตัว ไปเป็นเจ้าอาวาสวัด ก็รับผิดชอบหมดทั้งวัด เป็นเจ้าของอะไรๆ ก็รับผิดชอบหมดทุกอย่าง ถ้าอย่างงั้นน่ะเป็นเจ้าอาวาส เป็นเจ้าคณะตำบล เป็นเจ้าคณะอำเภอ ได้เป็นถึงเจ้าคณะจังหวัดอยู่สมัยหนึ่ง ๘๐ กว่าปีแล้ว เขาก็ยังไม่ออก ไม่ให้ออก ให้อยู่ต่อไปก่อน ๘๕ ๘๖ ถึงว่าจึงได้ออกจากเจ้าคณะจังหวัด ได้เป็นเจ้าคณะจังหวัดน่ะ ไม่ใช่ธรรมดาน่ะ
แต่เป็นเจ้าคณะแข็งน่ะ เป็นมานานแล้ว หึๆๆ เป็นเจ้าคณะแข็ง หึ เออ เวลาปวดเยี่ยวมันก็เกิดแข็งขึ้นมาก็ต้องไปเยี่ยว เฮอะๆๆๆๆ ถ้าบรรดาเจ้าคณะแข็ง อันนี้เป็นของจริง
เพราะฉะนั้น พูดเป็นสาธารณะให้ฟัง พวกเราอยู่ร่วมกันในแผ่นดินอันเดียวกัน ถ้าไม่ช่วยเหลือกัน จะเป็นยังไง มันก็เลวยิ่งกว่าสัตว์แล้วว่ะ พวกเราอยู่ในอำเภอนี้ อยู่ในจังหวัดนี้ ตำบลนี้ เราก็รับผิดชอบด้วยกันหมดทั้งตำบล ทั้งจังหวัด ทั้งอำเภอ รับผิดชอบ การงานอะไรเกิดขึ้นในหมู่บ้าน ในตำบลของเรา เราจะเอาอะไรมาช่วยกัน เราก็ขอความร่วมมือจากประชาชนในถิ่นนั้น ช่วยกันดูแล รักษา พัฒนา เรียกว่าพัฒนาเอาประเทศ พัฒนาบ้านเมือง ให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข แม้ตั้งแต่หนทาง เออ หมู่บ้านลานทองมานี้นะ สมัยก่อนก็ไม่เป็นอย่างนี้หรอก เดี๋ยวนี้ หนทาง ๒ เลน ๓ เลนก็ยังแน่นอัด มาเดี๋ยวนี้ โอ้ จะมา ค่อยคลานมา ค่อยตามหลังเขามาอย่างงั้น เขาติดหมด ๒ เลน ๓ เลนก็ตาม ติดหมด เขาจอดก็ต้องจอด เขาติดก็ต้องติดไปอยู่อย่างงั้นน่ะ แต่มีรถตำรวจนำทางอาศัยเปิดทางให้ ยกมือให้แหน่ ชี้ขี้นข้างหลัง รถทั้งหลายก็หยุด พระมหาเถระ มาๆ เขาเลยแยกรถจอด รถจอดเป็นแถว เราก็เลยมาถึงง่ายเข้า
ดังนี้พูดเป็นส่วนรวมไว้ ให้รู้จักว่าพวกเราทำงานร่วมกัน คนภายในประเทศจะแตกแยกกันก็ดูมันขี้ร้ายเกินไปหรอก แตกแยกกันแล้วก็เดินขบวนประท้วงกันอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่ถูกต้อง เราว่าไม่ถูกต้อง เราอยู่ในประเทศเดียวกัน ทำไมจึงต้องมีแตกแยกกันว่ะ นี่ถ้าไป พูดไปมันเป็นการเมืองน่ะปะเนี่ยน่ะ มันเป็นอย่างงั้น ถ้ายังแตกแยกกันอยู่ จะมาอยู่ร่วมประเทศกันทำไม ไปอยู่ประเทศอื่นซะ เออ ถ้ามาแตกแยกกัน เย้วๆๆ อยู่อย่างนี้มันจะสงบสุขอยู่ได้ยังไง อาจจะมีพวกปะปนเข้ามา มันจะปนเข้ามา มีปล้น มีจี้ มีฉก มีลัก งัดแงะบ้านเมือง บ้านช่อง ตามตลาด ร้านอาหารการกินพังถล่มทลายไปอย่างนี้ก็มี
ก็เขาไม่ซื่อสัตย์
พวกที่แทรกแซงเข้ามา
แทรกแซงเข้ามา มาปลอมแปลงมาเป็นประชาชน แต่ว่ามันเป็นประชาชนนอกคอก พวกไม่อยู่ในขอบข่ายของกฎหมายบ้านเมือง พอลักก็ลัก พอปล้นก็ปล้น พอจี้ก็จี้ พอขโมยก็ขโมย ร้านอาหารการกินเหล่านั้น พอเอาอะไรมันก็เอาไปเลยทำนองนั้น ก็เดือดร้อนประชาชนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น พวกเราอยู่ในประเทศเดียวกัน บ้านเมืองเดียวกัน ขอให้กลมเกลียวสามัคคีกันไว้ ดีกว่าแตกแยกกัน
สามัคคีมีในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น
ถ้าสามัคคีคลาดไปหรือขาดไปจากหมู่ใดแฮ
ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย
ฉิบหายไปหมด บ้านใด เมืองใด ให้มีความกลมเกลียวสามัคคีดีต่อกัน จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง อ่ะนะ เฮอะๆ หึจรรโลงบ้านเมืองเรา กลมเกลียว สามัคคี มีพลังงานทั่วทุกหมู่บ้าน เอาใจใส่ทั่วกันทุกหมู่บ้าน จะสร้างอะไร จะสร้างวัด จะ สร้างวา จะสร้างเสนาสนะส่วนรวมบางอย่าง ถ้าเราพร้อมเพรียงกันหมด หมดทุกครอบครัว มันจะไปยากอะไร ทำวันเดียวก็เสร็จ เพราะว่าต่างคนต่างช่วยกันคนละไม้ละมือ พร้อมเพรียงกัน สามัคคีกัน
ความสามัคคีมีในหมู่ใด ความสุขย่อมมีในหมู่นั้น
ถ้าสามัคคีขาดไปหรือคลาดไปจากหมู่ใดแฮ
ภัยย่อมเข้าฟาดฟันหมู่นั้นฉิบหาย
อืม แตกแยกกันหมู่นั้นฉิบหาย ถ้าแตกแยกกันหมู่นั้นฉิบหาย บ้านนั้น ตำบลนั้นฉิบหาย จะเป็นตำบล หรือเป็นอำเภอ หรือเป็นจังหวัดก็ตาม ถ้าแตกแยกกันแล้วมันเป็นยังไง แม้แต่ในร่างกายของเรานี้ก็ยังแตกแยกกันอยู่ มีหัวใจ มีตับ มีม้าม มีปอด มีลำไส้น้อย ไส้ใหญ่ ถ้ามันเกิดแตกแยกกันอยู่ในร่างกายเราเป็นยังไง เข้าโรงผ่าตัดอย่างรีบร้อนและก็รีบเร่งด้วย ปลอดภัยมา เพราะว่าธาตุมันกลมกลืนแล้ว ดีแล้ว ถ้าแตกธาตุ แตกแยกกัน แม้แต่ตัวเราก็อยู่ไม่ได้ หึหึ
ธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ทั้ง ๔ ข้ออยู่ในร่างกายเรา ถ้ามันทำงานกลมกลืน กลมเกลียวกัน ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพแข็งแรง ใครอย่ามาแหยม มาเห็นว่าอยู่อย่างนี้ อย่ามาแหยมน่ะ มันทำงานได้อยู่ มันๆ แหยมกันไม่ได้น่ะ อ้าวพูดเป็น ปกิณณกนัย เพื่อฝากให้ท่านทั้งหลาย ซึ่งอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นพวก เป็นบ้าน เป็นตำบล เป็นเมือง เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด ก็ล้วนแล้วแต่สมควรสามัคคีดีต่อกัน จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง เออ ด้วยประการฉะนี้ พอแล้ว
(สาธุ)
ถ้าพูดไป ฝอยไป มันก็มีไปเรื่อยล่ะ
กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง
การงาน ๑ วิชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอันอุดม ๑
ถวายสังฆทาน
อิมานิ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ,
สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ,
โอโณชะยามะ, สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ,
อิมานิ ภัตตานิ, สะปะริวารานิ,
ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง,
ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ,
อิทัง เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุ.
ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย
ภัตตาหาร กับทั้งเครื่องบริวารทั้งหลายเหล่านี้
แด่พระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงรับ ภัตตาหาร กับทั้งเครื่อง
บริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์
และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนานเทอญ
ทานของข้าพเจ้านี้ จงนำมาซึ่งความสิ้นอาสวะเทอญ
อุปโลกน์ [อุ-ปะ-โหฺลก, อุบ-ปะ-โหฺลก]
ยกกันขึ้นเป็น สมมติขึ้นเป็น
อปโลกน์ [อะ-ปะ-โหฺลก]
การบอกเล่า การบอกกล่าวแก่ที่ประชุมเพื่อให้รับทราบ
พร้อมกัน หรือขอความเห็นชอบร่วมกัน
ในกิจบางอย่างของส่วนรวม ใช้ใน อปโลกนกรรม
อปโลกนกรรม [อะ-ปะ-โหฺลก-นะ-กัม]
กรรมคือการบอกเล่า กรรมอันทำด้วยการบอกกันใน
ที่ประชุมสงฆ์ ไม่ต้องตั้ง ญัตติ (คือคำเผดียง)
ไม่ต้องสวด อนุสาวนา (คือประกาศความปรึกษา
และตกลงของสงฆ์) เช่น อปโลกน์แจกอาหารในโรงฉัน
วิกัปปะ [วิ-กับ-ปะ]
วิกัปป์, วิกัป [วิ-กับ]
ทำให้เป็นของ ๒ เจ้าของ คือ ขอให้ภิกษุสามเณรอื่น
ร่วมเป็นเจ้าของบาตรหรือจีวรนั้นๆ ด้วย
ทำให้ไม่ต้องอาบัติเพราะเก็บอติเรกบาตร หรืออติเรกจีวร
ไว้เกินกำหนด
ภัณฑไทย [พัน-ทะ-ทัย]
การกระทำของพระภิกษุเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องเสียหายเป็น
มูลค่าตั้งแต่ ๕ มาสก คือ หนึ่งบาทขึ้นไป
คำอปโลกน์สังฆทาน
ยัคเฆ ภันเต สังโฆ ชานาตุ,
อะยัง(เอโส) ปะฐะมะภาโค เถรัสสะ ปาปุณาติ,
อะวะเสสา ภาคา อัม๎หากัง ปาปุณันตุ,
ภิกขู จะ สามะเณรา จะ คะหัฏฐา จะ,
ยะถาสุขัง ปะริภุญชันตุ
ขอพระสงฆ์ทั้งปวงจงฟังคำข้าพเจ้า
ส่วนที่ ๑ ย่อมถึงแก่พระเถระ ผู้อยู่เหนือข้าพเจ้า
ส่วนที่เหลือจากพระเถระแล้ว ย่อมถึงแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
ตามบรรดา ภิกษุ สามเณร คฤหัสถ์
ขอท่านทั้งหลายพึงบริโภคได้ตามสบายเถิด
อะยัง แปลว่า นี้
ใช้เมื่อของที่ อปโลกน์ อยู่ใกล้ประมาณ ๑ หัตถบาส
เอโส แปลว่า นั้น
ใช้เมื่อของที่ อปโลกน์ อยู่ไกลประมาณ ๑ หัตถบาส
มหาเถรัสสะ แปลว่า พระเถระผู้ใหญ่
ใช้เมื่อมี พระเถระผู้ใหญ่ เป็นประธาน
สิกขาบท ๕
ปาณาติปาตา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการฆ่า เบียดเบียนสัตว์อื่น
อะทินนาทานา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการถือเอาของที่เขามิได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย
กาเมสุ มิจฉาจารา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น
มุสาวาทา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ
สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี
สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
เว้นจากของเมา คือ สุราอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
เพลงรวมไทย
(สร้อย) รวมไทยร่วมใจ
รักษาอำนาจชาติไทย
เทอดไทยทูนไทย
ด้วยน้ำใจมั่นคง
สามัคคีระหว่างไทยคงได้ผล
ไทยทุกคนรวมทั้งชาติและศาสนา
เหมือนหนึ่งได้เกิดกำเนิดมา
จากบิดรมารดาคนเดียวกัน
(สร้อย)
ถ้ารวมไทยได้สิ้นทุกถิ่นแคว้น
คงจะเป็นปึกแผ่นสามารถมั่น
ขอให้ไทยสามัคคีมีต่อกัน
จึงจะจรรโลงไทยให้รุ่งเรือง
(สร้อย)
๗๐