หลวงปู่ท่อน ญาณธโร
พระธรรมเทศนา วันธรรมสวนะ
วันเสาร์ที่ ๘ มีนาคม ๒๕๕๗ เวลา ๑๙.๓๐ น.
ณ วัดทองเนียม แขวงหนองแขม
เขตหนองแขม จ.กรุงเทพมหานคร
ตั้งใจเด้อ ได้มีการไหว้พระรับศีลแล้วเนาะ(นะ)เรียบร้อยแล้ว
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง
อิมัสสะ ธัมมะปะริยายัสสะ อัตโถ
สาธายัสมันเตหิ สักกัจจัง ธัมโม โสตัพโพติ
อนุสนธิพระธรรมเทศนา มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลนู้นแหละ พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ เป็นคนแนะนำสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามาโดยลำดับ จนเท่าทุกวันนี้ ยังไม่จืด ยังไม่จาง ยังไม่ห่าง ยังไม่หาย ฟังเวลาไหนก็ซึ้งใจเวลานั้น ธรรมะ คำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนไว้ เพราะว่าตัวของเราเป็นผู้มีกิเลสหนา ปัญญาหยาบอยู่ ปัญญาทึบ มองไม่เห็น บาปบุญคุณโทษเท่าไหร่นัก ที่ไปเทศน์ที่นั่นที่นี่ ก็จดจำเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย บันทึกเอา เอาสมองบันทึกเอา จำได้บ้างไม่จำได้บ้าง หึ ก็ธรรมดา ของมันเป็นอนิจจัง ของมันไม่เที่ยง สมองมันก็ไม่เที่ยง จิตใจก็ไม่เที่ยง วอกแวก ง่อนแง่น คลอนแคน อยู่ ส่ายแส่ไปตามสัญญาอารมณ์ไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น เท่าที่จะระลึกได้นี้ ก็เลือก
กัมมัง วิชชา ธัมโม สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง
เออ อันนี้จำได้ดีอยู่
กัมมัง
ก็คือการงาน เว้ย พูดถึงการงาน ก็เป็นกรรมเหมือนกัน นับตั้งแต่ชาวไร่ ชาวนา ชาวเรือก ชาวสวน ก็ทำกรรมกันทั้งนั้น
กัมมัง
แต่บางคน รู้จักว่ามันเป็นโทษ ก็เลิกละ พยายามตัดกังวลออกจากจิตจากใจซะ
กัมมัง กัมมัง
ตัวนี้ มันมีหลายอย่าง พวกทำเรือก ทำสวน ทำไร่ ทำนา ก็เรียกว่ากสิกรรม หรือกรรมกรนะ การงานทำมาหาเลี้ยงชีพนั้นก็เป็นกรรมเหมือนกัน อ้า เลี้ยงชีพจนจะเลี้ยงลูกปลูกโพธิ์ใหญ่ขึ้นมาเป็นตนเป็นตัวได้ พ่อกับแม่นี้ แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ทำงานหนักเอาเบาสู้ ไม่ถอยหลัง ก้มหน้าก้มตา บากบัน บึกบึน คุ้ยเขี่ย อ้า เหมือนดังสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไก่มันเลี้ยงลูก มันก็ไม่ได้มีลูกเฉยๆ มันก็คุ้ยเขี่ยอยู่อย่างงั้น คุ้ยเขี่ยหาอาหารเท่าที่ลูกกินได้ มันไม่อยู่เฉยๆ เลี้ยงลูกอ่อนน่ะ คุ้ยอันนั้น คุ้ยอันนี้ คุ้ยเขี่ยตรงนั้น คุ้ยเขี่ยแล้วก็เลี้ยงลูก เรียก เรียกเอาลูก กุ๊กๆๆๆๆๆ คุ้ยเขี่ยไปด้วย ควด(คุ้ย)ขี้ดินไปด้วย ควด(คุ้ย)แกลบ หัวมอง(หัวกระเดื่องด้านที่ติดกับสากตำข้าวของครกมอง) หัวหยังก็ควด(คุ้ย) คุ้ยเขี่ยหาเม็ดข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวที่มันหล่นอยู่แถวนั้นล่ะ บางทีมันก็มี ไส้เดือน มีแมลงอยู่ในดิน มีเยอะแยะเหมือนกัน มันคุ้ยออกมาไส้เดือนมันก็ออกมายาวๆ เลี้ยงลูกทั้งนั้นก็มาเยอะแยะ มาแย่งกันกิน เออ แต่ว่าฟังคำแม่ แม่เป็นคนเลี้ยงมา เออ ไม่ค่อยรบตีกันเท่าไหร่หรอก พวกมันเคารพน้ำใจแม่ ไม่เข้ารบจิกตีกันอะไรมากมาย ถ้าที่ไหนมันหัวมอง(หัวกระเดื่องด้านที่ติดกับสากตำข้าวของครกมอง) เขาตำข้าว ฟาดข้าว หรือมีอาหารเศษๆ เยอะๆ มันก็ได้อาหารเยอะๆ คุ้ยเขี่ยไปตรงไหนมันก็มีอาหารเกิดขึ้นที่นั่น มีไส้เดือน มีกิ้งกือ มีแมลงต่างๆ ดิ้นออกมาเป็น มันก็จิกตอดกันไปตามประสาของมัน เออ ไก่เลี้ยงลูกใหญ่โตขึ้นมาได้ เพราะความขยันหมั่นเพียรพยายาม คุ้ยเขี่ยหาอาหาร จนกว่าลูกจะรู้จักค้นหาทำมาหากินเป็นแล้ว จึงค่อยเฉย เออ เริ่มจะขันเป็นแล้ว มันเริ่มจะปกปีกเป็นแล้ว อะไรทำนองนี้ รู้สึกสนุกสนานเหมือนกัน นี่พูดถึงเรื่องเล่าหนึ่ง พวกเป็ดพวกไก่เลี้ยงลูกมันมา สัตว์อื่นอยู่ในป่ายิ่งกว่านี้อีก มันไม่ค่อยได้หลับได้นอน ไปแสวงหาอาหารมาเลี้ยงลูกของตัวเอง ถ้ามีคู่ผัวตัวเมียกันแล้วก็ต้องมีไข่ขึ้นมา กกไข่อยู่นั้นก็ แหม ลำบากขนาดไหน ไม่ได้กินอาหารน่ะถ้ากกไข่ล่ะ ถ้าไปบ่อยๆ กลัวไข่มันจะเน่าต้องให้อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าตัวเมียน่ะลำบาก เฝ้าไข่ กกไข่ เขาเรียกว่าฟักไข่ ถ้าออกหนีไปบ่อยๆ ไข่มันจะเน่า ต้องอดรนทนสู้เอา เมื่อยเท่าไหร่เท่าไรก็สู้เอาทนเอา เลี้ยงลูก เลี้ยงไข่ให้มันแก่ เป็นตนเป็นตัวขึ้นมา สมบูรณ์จนครบกำหนด ทศมาสมันมีเท่าไหร่ มันจึงเจาะกระเปาะไข่ ลืมตาอ้าปากดูโลก ถ้าแตกออกมาแล้วก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ อยู่ปะเนี่ย วิ่งตามแม่ จะไปที่ไหนๆ ก็กกลูก เรียกลูกไปหากิน คุ้ยเขี่ยหัวมอง(หัวกระเดื่องด้านที่ติดกับสากตำข้าวของครกมอง) หรือที่ไหนมันมีอาหารแล้ว คุ้ยเขี่ยเลี้ยงลูกให้วิ่งเข้ามาหากิน ลูกก็รู้จักที่มาของอาหารแล้ว มันก็คุ้ยเขี่ยกินเอง ต่อไปอยู่อย่างงั้นน่ะ มันขนาดไหน เลี้ยงลูกตั้งแต่น้อย ลืมตาอ้าปาก แตกออกจากเปลือกไข่ จึงจะช่วยตัวเอง ปีก ขนปีก ขนหางหุ้มก้นแล้ว ปีกหุ้มก้นแล้ว บัดนี้ก็หากินด้วยตัวเองบ้าง แม่ แม่เรียก กุ๊กๆๆๆ เวลาไหนก็วิ่งใส่เวลานั้น ตั้งแต่น้อยมาจนทำมาหากินเป็น เรียกว่าวางใจได้แล้ว ปล่อยแล้ว เออ แล้วไม่ใช่ชุดเดียวเท่านั้นน่ะ เลี้ยงชุดนี้ใหญ่แล้วก็ต้องมีไปอีกแหละ พอลูกปีกมันหุ้มก้น หุ้มปีกทั้งตัวได้แล้วปะเนี่ย แม่ก็อาจจะสบายใจ วางใจได้ เป็นสาวขึ้นมา เออ ก็สร้างลูกกันไปอีกเรื่อยไปชุดใหม่ ชุดนี้แล้วไปแล้ว ชุดต่อๆๆๆ ไปอยู่อย่างงั้น ชุดที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ จนเต็มบ้านเต็มเมือง ไก่ทั้งหลายด้วยความเอาใจใส่ของพ่อแม่ ไม่ได้ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย กลัวลูกจะอดอยากปากแห้ง เอาจนโตไปหลายรุ่น ไม่ได้รุ่นเดียวเท่านั้น เลี้ยงลูกมาพาลูกโตมาหลายรุ่น เป็นหนุ่มเป็นสาวมา เท่าไหร่เขาก็แผ่กันออกไปเรื่อยๆ อย่างนี้ล่ะ นี่ๆ อันนี้สัตว์ทั้งหลาย มันไม่ปล่อยปละละเลย ให้ลูกลำบาก ให้ลูกมีอยู่มีกิน เลี้ยงตัวมาพาตัวโต เป็นตัวใหญ่ เริ่มหัดขัน หัดอะไรได้แล้ว อ้าว หายห่วง ถ้าลูกโตแล้วแม่ก็หายห่วง ไม่ต้องวุ่นวายล่ะ ต่างคนต่างหากินเอาเอง นี่ธรรมดาไก่เลี้ยงลูก
นกที่มันออกลูกตามหลัก ตามอะไร มันก็หาเหมือนกัน บินว่อน ตื่นเช้ามาก็บินออกจากรังไปทุกทิศ ทุกทาง บางทีก็ตามหลังกันไป บางทีก็แยกทางกันไป ไปหาเหยื่อ ได้แต่เหยื่อมาแล้ว แต่มันเหนียงเต็มคอแล้ว แล้วก็บินกลับรัง พอไปถึงรังแล้วทำยังไงลูกกิน ลุกฮือกันขึ้น ชอนไชหาอาหารจะกิน แม่ก็คายใส่ปากให้ คายนั้น คายให้ตัวนี้กินอิ่มพอสมควรแล้ว ก็คายให้ตัวนี้ คายให้ตัวนี้ แล้วก็ได้อะไรมาก็ไม่รู้ ได้แมลง ได้หมากไม้ ผลไม้ เท่าที่มันเลี้ยงกันได้อ่ะ จนมันแม่หมดอยู่ในเหนียง ในเหนียงใน ในคอแล้ว พอแล้ว อิ่มแล้ว ลูกอิ่มแล้วก็หาวนอนแล้วปะเนี่ย ก็นอนปวกเปียกๆ อยู่ล่ะ นั่น เป็นอย่างงั้นประสาของสัตว์ เขามีสัญชาตญาณ เลี้ยงลูกทั้งหลายให้ใหญ่โต เออ บินว่อนอยู่ตามอากาศ บินหากินเป็นแล้ว ไม่ต้องยุ่งกัน เออ บินไปมาหากินได้
แม่ลงน้ำก็ลงน้ำด้วย แม่ว่ายน้ำลูกก็หัดว่ายน้ำด้วย หากินไปตามแม่ล่ะ แม่พากินอะไรก็กินไป มุดน้ำก็มี บางทีก็ได้ปู ได้ปลา ได้สัตว์เล็กๆ น้อยๆ กิน กลืนกินๆ ไปเรื่อยๆ ขนาดเนี่ยมันขนาดไหน ยากขนาดไหน เลี้ยงลูกปลูกโพธิ์ จนใหญ่กล้าหน้าบาน อาศัยตัวเองได้แล้ว รู้จักทำมาหากินได้แล้ว พ่อกับแม่ก็วางใจได้แล้ว แต่มันก็ไม่ยอมแค่นั้นน่ะทำใจได้แค่นั้นอ่ะ มันยังสร้างลูกสร้างเต้าอีกต่อไป อืม เรียกว่าถืก(สัมผัส)กันไปแล้วน่ะ
ตัวผู้ก็มีกำลังวังชา ตัวเมียก็มีกำลังวังชาแล้วก็ รู้จัก แสดงกิริยาอาการใส่กันขึ้นมา ก็ถืก(สัมผัส)กันชนกันไป ตามประสาของมัน อยู่อย่างงั้นน่ะนกทุกจำพวก ไก่ทุกชนิด ไม่ว่าไก่บ้าน ไก่ป่า เขาเป็นอย่างงั้น พวกเป็ดทั้งหลาย ถ้าเลี้ยงลูกขึ้นมา โตมาก็วิ่งตามแม่ไป ลอยตามน้ำไป ยะๆๆๆ (จำนวนมาก ยั้วเยี้ย) ไปก็ลอยไป แม่ก็มุดน้ำ มุดเอาในน้ำ มุด ไปได้อะไร เกี่ยวอะไรก็ยัดใส่ปากลูก มาเรื่อยๆ ตัวไหนได้กินมากก็อิ่ม ก็ไม่เคยก็พายเอา นี่เขารู้จักประสา เลี้ยงกันได้ สัตว์ทุกชนิดเลี้ยงกันได้ ไม่เฉยเหมือนกับทิ้งลูกหรอก เป็นถึงลูกน้อยของตัวเองออกมา ไม่รู้จักว่าเป็นลูกของตัว มีแต่แย่งกันกิน มีแต่อะไรก็กินไป ถึงลูกของตัวแท้ๆ มันก็ไม่เอาใจใส่ เฉย เฉยปานจะทิ้งลูกมันแน่ะ ไม่ ไม่มีความดีใจเสียใจอะไรแล้ว เฉย ถ้าลูกโตมาแล้วก็เฉย แย่งแม่กินเสียด้วยซ้ำไป ถ้ามีอาหารการกินมา นั่นพูดประสาสัตว์ เขาเป็นอย่างงั้นทุกชนิด แต่สุ... สุนัขบ้าน สุนัขป่าก็เหมือนกัน สุนัขบ้าน สุนัขป่า ออกลูกไว้ในโพรง ในรู ในถ้ำ ในมุมที่ไหน ทิ้งไว้นั่นแหละก็วิ่งหาอาหาร จนอิ่มหนำสำราญแล้วก็วิ่งกลับมาหาลูก ไม่ได้มีมือถือ ไม่มีข้อง(ใส่ปลา) ไม่มีตะกร้าอะไรหรอก อยู่ใน อยู่ในคอนี่แหละ มาแล้วก็อ้วกให้ลูกกิน ลูกอยู่ในรังก็กิน แย่งกินๆ จากปากแม่นี่แหละ กินจนอิ่มทุกตัว นี่ประสาสัตว์เขาเป็นอย่างงั้น เขาไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ถ้ามีนกบินผ่านฟ้าไป ให้พึ่งรู้ว่ามันแสวงหาอะไร มันถึงไปอย่างงั้นแต่เช้าๆ มืด ก็เพราะมันมีลูกอยู่ในรัง มีลูกอยู่ในรังคอยกินกับแม่ แตกออกจากกระเปาะไข่แล้วก็คอยกินกับแม่อย่างเดียว ถ้าวันไหนแม่รวยลูกก็กินไป ถ้าวันไหนแม่ไม่ได้อะไรเลยก็ลูกก็อดไป อยู่อย่างนั้นแหละ อืม เราก็พยายามเลี้ยงกันจนใหญ่กล้าหน้าบาน จนรู้ รู้จักภาษากัน นี่พูดถึงสัตว์ทุกจำพวกในโลกเป็นอย่างงั้น แต่ว่าเฉย เฉยหันไปเห็น ลูกมันไป เห็นลูกน้อยมา โอ้ย ฟักที่ไหนไม่รู้ ไปฟักไข่ที่ไหนมา ไม่รู้จักลูกของตัวซะเลย เข้า เข้าจิก เข้าตีเอาแน่ะ ลูกก็ไม่รู้จักประสามีแต่มุดเข้าไป ใต้อก ใต้ปีก เนี่ยไม่มีนมให้กินหรอก ถ้าว่าให้แม่สงสาร แม่ก็จะได้คายอาหารใส่ปากให้ ถ้ามีก็อ้วกให้ลูกกิน เป็นอย่างงั้น นี่ประสาสัตว์ทุกจำพวก แต่สัตว์ต่อมากว่านั้น ทีพวกวัวพวกควาย ตัวไหนเจ็บป่วยลงไป จะหาอาหารมาเลี้ยงกันมีบ้างไหม ไม่เคยมีเลย เออ หากินเองเรื่อยไป หาอาหารให้กันจึงไม่ค่อยมี แต่ว่าช้างแน่ะมี เว้ย ช้างน่ะมีเมตตาอารี อ่ะ ...มาเต็มปากเต็มมือมันแล้ว ยื่นให้ลูกให้เต้ากิน แต่ว่ามันสูงโน้นกิ่งไม้สูงๆ ก็น้าวลงมาหัก ถ้าเกิดยื่นให้ลูก ว่ายื่นตัวนั้น ตัวนี้บ้างอย่างนี้ มีอยู่บ้าง เห็นอยู่บ้าง โอ้ อันนี้ พวกกันเหรอ นกทุกชนิด บินไปได้มาได้ก็มี นกยูง นกเป็ด นกอะไรเหล่านี้ มีแต่หาเลี้ยงลูกกันทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ ใจมนุษย์สูงกว่านั้นอีก อีก ฟูมฟักรักษา คุ้ยเขี่ย หาสิ่งที่จะเลี้ยงลูก จนไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ฝนตกก็สู้ ฝนตกก็แจ้งนั้น แจ้งก็ร้อน แล้วก็ไป แสวงหาอาหารมาเลี้ยงลูกของตัวเอง อยู่อย่างงั้นตลอดวัน บางทีกลางคืนก็ไปหา ไปหาอาหาร เพื่อมาจุนเจือลูกของตัวเอง เหนื่อย มันมีน้ำใจอย่างงั้นมาแต่ไหนแต่ไร สัตว์ ไม่เมินเฉย เฉยขึ้นเป็นถึงลูกตัวแหม สังเกตดู รู้จักเจือจุนกัน พวกสัตว์ต่ำกว่านั้นลงไปอีก พวกกบ พวกเขียด มีแต่แย่งกันกินทั้งนั้นล่ะปะเนี่ย กินเอาตัวรอด เพื่อเอาตัวรอดได้ ถ้าพวกงู พวกอะไรมาอย่างงี้ ก็รู้จักกลัว รู้จักกระโดดโลดเต้น หนี เออ แต่ก็ไม่พ้นจากปากงู ปากเหยี่ยวไปได้ เขาก็เอาไปกิน ถ้ารักษาเหรอ ตัวไม่รอด เป็นเหยื่อของสัตว์ที่ฉลาดกว่า เพราะฉะนั้น เราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา มนุษย์ผู้มีจรรยาบรรณสูงกว่านั้นอีก มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา มีคุณธรรมสูงกว่านั้นอีก จะไปปล่อยให้ลูกอดอยาก ได้ยังไง ร้องไห้เวลาไหนก็มือถึงสายเปลเวลานั้น ร้องไห้แงๆ ขึ้นมาแล้ว ไห้(ร้องไห้)ไม่หยุดก็อุ้มมาใส่นม ยัดใส่นม บางทีมันไม่มีนมเลย มีแต่ไห้(ร้องไห้)อย่างเดียว อ้าว ผิดปกติแล้วเว้ย ก็คว้าเอาลูกขึ้นรถขึ้นลาไปหาหมอ ให้หมอตรวจตราดู มันเป็นโรคอะไร มันถึงเป็นอย่างนี้ ถึงร้องไห้อย่างนี้ ไม่ได้นอนเฉยๆ หรอกแม่กับพ่อ กว่าจะรักษาขี้ออกมาอยู่เฉยๆ เหรอ เยี่ยวออกมาอยู่เฉยๆ ฟูมฟักรักษา ขี้ออกมาแล้วจะเฉยอยู่เหรอ เยี่ยวออกมาแล้วจะเฉยอยู่เหรอ ฟูมฟักรักษา เอาใจใส่เป็นพิเศษ ดีกว่าสัตว์อื่นอีกที่คุ้ยเขี่ยหาอาหาร ทำไร่ ทำนา ทำเรือก ทำสวน ทำเพื่อจะได้ผลิตผลเหล่านั้นมาเลี้ยงลูกของตัวเอง โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็เอา หามาได้หลายๆ เอาไปขาย เอาเงินเอาทองมาไว้ใช้จ่าย เพื่อจะเลี้ยงลูกต่อไปอย่างนี้พ่อแม่เรา เลี้ยงเรามาเป็นอย่างงั้น ถ้าตัวใหญ่ขึ้นมาได้ เราว่าความพยายามเอาใจใส่ ฟูมฟักรักษา อดตาหลับ ขับตานอน และก็รับเป็นภาระทุกอย่างสำหรับลูก ขี้มูกออกมา ขี้ตาออกมา เออ เป็นหวัด เป็นไอ เป็นไข้ เป็นหนาว ก็มีวิธีแก้ไขเยียวยา หายามารักษาโรคลูก ให้หายจากปวด จากไอ จากไข้ จากหนาว เหล่านี้ก็คุ้ยเขี่ยหา จนได้ของเหล่านั้นมาประทัง บรรเทาความเป็นหวัด เป็นไอ เป็นไข้ เป็นหนาว เออ พวกเราที่ใหญ่กล้าหน้าบาน ใหญ่โตมาขนาดนี้ๆ ก็ล้วนแล้วตั้งแต่ผ่านมือของแม่มาทั้งนั้น ตั้งแต่อยู่ในท้อง คลอดออกมา ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ ถ้าหิวก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องหมาย หิวๆ ก็ไม่มีว่า ไม่เป็น ร้อง อุว่าๆ ขึ้นมา นั่นแหละ แม่ก็เอานมยัดใส่ปากให้ดูด เออ หรือถึงเวลากินข้าว แม่ก็เป็นคนเคี้ยว เคี้ยวให้มันหวานซะก่อน เคี้ยวใส่ถ้วยวางอะไรบ้าง ตุ้ยใส่ปากให้ดูดกิน ดูสิ พวกเราก็ผ่านกันมาทั้งนั้น ที่มาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลายนี่ ผ่านจากความฟูมฟักรักษาของพ่อของแม่มาทั้งนั้น บางคนเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ได้รับการศึกษาอะไร มีแต่จะเอาลูกเดียว ไถพ่อ ไถแม่ เออ พ่อแม่ห้ามปราม ก็หาว่าไม่รักเขา ถ้าไม่ทำตามใจเขาทุกอย่าง ชอบเล่นกีฬา เล่นอะไรก็ธรรมดาของเขา ธรรมดาเขาเป็นอย่างงั้น ตามใจทุกอย่าง ถ้าลูกเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา แข้งขาไม่ดีขึ้นมา เดินไม่สะดวกขึ้นมา แล้วเป็นยังไง แม่กับพ่อเป็นทุกข์ไหม มีความทุกข์ร้อนใจขึ้นมา โอ้ย มันขาหัก มันๆ เป็นอะไร มันเดินไม่ได้แล้ว เดือดร้อนถึงพ่อถึงแม่ ต้องอุ้มไปหาหมอ ให้หมอดูแลเยียวยารักษาให้ หมอรับรองว่าปลอดภัยแล้ว จึงค่อยสบายโล่งอก โล่งใจ ถ้าหายใจหายคอไม่ออก จมูกตัน หรืออะไรเป็นหวัดอย่างหนัก อย่างนี้ก็พ่อแม่ก็ลำบากเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่มาอยู่ในธรรมสภาแห่งนี้ ก็ฟังแล้วก็รู้เรื่อง ว่าตัวของเราใหญ่โตขึ้นมาได้ ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของพ่อของแม่ ฟูมฟักรักษา อดตาหลับ ขับตานอน ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ แล้วก็ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยวให้อีก ขี้มูกตันดัง(จมูก) ตันดัง(จมูก)ขึ้นมาทำยังไง เออ เป็นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลพู้น(โน้น)ล่ะ เออ พระเจ้า เออ พิมพิสาร เลี้ยงลูกตั้งแต่น้อยๆ มา ลูกหายใจไม่ออก พระเจ้าพิมพิสารทำยังไง อชาตศัตรูน้อยๆ ไห้(ร้องไห้)เลยกระจองอแง ขี้มูกตันดัง(จมูก) หายใจไม่สะดวก พระเจ้าพิมพิสารจะทำยังไง ไม่มีปัญญาแล้ว จะหาหมอที่อื่นจะลำบาก เอาปากของตัวอมจมูก อมจมูกลูกแล้วก็ดูด ปื๊ดๆๆ ก็ออกมาแล้ว บ้วนทิ้ง ดูดอีก ปื๊ดๆ บ้วนทิ้งอยู่อย่างงั้นน่ะ นี่พระเจ้าพิมพิสาร มีนิทานเล่ามาอย่างงี้ โอ้ พ่อ พ่อแม่เลี้ยงลูกขนาดนั้นเชียวล่ะ เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าพิมพิสาร แต่ปานกระนั้น ก็ยังถูก ลูกทรมานพ่ออีกเวลาโตมาแล้ว อืม ไม่ต้องเล่านิทานว่าทรมานยังไงแล้วมัน รู้จักกันอยู่ในตำรา แล้วก็มาทำลายพ่อ อยากได้ราชสมบัติ มีพระอะไร พระเทวทัต เป็นอาจารย์มาฝึกหัด ทีแรกเหาะมาทางอากาศด้วยนะ ก็มายืนทางหน้าต่าง ยืนทางพระแกล(หน้าต่าง)เห็นอยู่ทางพระแกล(หน้าต่าง) โอ้ พระองค์นี้ดีขนาดนี้ มาขนาดนี้ ก็เลยยึดเอาว่าเป็นสรณะที่พึ่ง ที่ระลึกจริงๆ นับถือ ต่อไปต่อมาก็ พระเทวทัตก็เลยคิดอยากจะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เราต้องทำลายพระบรมศาสดาซะก่อน เราจึงเป็นพุทธเจ้าแทน แน่ะ คิดขึ้นมาอย่างงั้น อยากเป็นใหญ่เป็นโต ลาภสักการะย่อมฆ่าผู้มีปัญญาทรามซะได้ เออ ต่อไปปลุกระดม ของอชาต... อชาตศัตรูปลุกระดมที่นั่น ปลุกที่นั่นแล้วยุว่าให้รำ ตำให้รั่วกันนั้น ให้พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารซะ ฆ่าบิดาซะ เราจะได้ครองราชสมบัติแทน ถ้าพระบิดายังมีพระชนมายุอยู่ เราไม่มีโอกาสได้ครองราชสมบัติน่ะ ปลุกปั่นกันอย่างนี้ พูดไปพูดมาก็เชื่อ ก็เลยหาวิธีทรมานพระเจ้าพิมพิสารแล้ว ให้พระเจ้าพิมพิสารต้องถูกขัง เอาไปกักไปขังไว้ในคุกในตะราง โน้น ไม่ส่งอาหารไปให้ ไม่ดู ไม่แล และโดนทรมาน
อยู่ในคุก ในตะราง กี่วัน กี่เดือนมา จนพอแรงแล้ว บัดนี้พระเจ้าอชาตศัตรูถามข่าวหาพ่อ เออ เขาก็ไม่บอก แต่ทีแรกไม่บอก ปะเนี่ยก็ทำไง พอดี พระเจ้าอชาตศัตรูก็มีบุตรเหมือนกัน มีภรรยาแล้วมีบุตร ลูกคลอดออกมา จึงค่อยระลึกได้ว่า โอ้ ลูกมันน่ารัก น่าเอ็นดูขนาดนี้ ระลึกถึงพ่อตัวเอง ถามหาพระบิดาเป็นยังไงอยู่ในคุก เขาก็เลยทูลถวายข่าว แต่ก่อนไม่บอก บอกแต่เรื่องลูกเกิดเนี่ยแหละ ให้ฟังซะก่อน พ่อเกิดรักลูกขึ้นมาแล้ว เขาจึงบอกว่า พระบิดาท่านสิ้นพระชนม์เวลาเดียวกันกับพระกุมารคลอดตรงนี้แหละ เวลาเดียวกันนี้เลยไม่ได้บอก กลัวจะตกพระทัย ให้ได้มาฟูมฟักรักษาผู้เกิดใหม่นี้ซะก่อน จึงระลึกถึงพ่อตัวเองขึ้นมา พระบิดา เราไปขังพระบิดาไว้ในคุก ในตะรางนั่นแหละ แล้วท่านเป็นยังไงหนอ ให้อดอาหารบ้าง ให้ทรมานต่างๆ นานาบ้าง เพื่ออยากให้พระบิดาตาย แล้วเราจะได้ครองราชสมบัติแทน อันนี้เป็นคำสั่งของอาจารย์เทวทัต เทวทัตเพิ่นได้มา
ยุให้รำ ตำให้รั่ว ยั่วให้แตก
ถึงขนาดนั้น เขาก็เลยทูลความจริงออกมา เวลากำลังฟูมฟักรักษาลูกอ่อนของตัวเอง พระบิดา ท่านสิ้นพระชนม์ หมดลมหายใจ เวลาเดียวกับพระกุมารเกิดแล้ว เป็นลมไปเลย โอ้ แต่ก่อนนั้น พ่อของเรา แม้จมูกตัน ก็ยังเอานี่ เอาปากดูดขี้มูกที่มันตันๆ อยู่ ในดูด ปู๊ดๆ ออกทิ้ง ดูดปู๊ดทิ้งๆ จักรู้ระลึกได้ขนาดนั้น แล้วพ่อแล้วลูกอันนี้เล่า ทำไมเป็นคนเนรคุณขนาดนี้ เอาพ่อไปขังทรมานให้พ่อตาย เพื่อเราจะได้ครองราชสมบัติ ไม่กินข้าวกินน้ำแล้วปะเนี่ย โอ้ย
เสียใจต่อความศรัทธาในพระเทวทัต ก็เลยถอนออกมา โอ้ พระเทวทัตมาสอนให้เรา ทรมานพ่อของตัวเองจนถึงขนาดนั้น ไม่เชื่อ ต่อนี้ไปไม่เชื่อ เลยเป็นใหญ่ซะเองเลย เราจะเป็นใหญ่เอง ดูแลตัวเอง ประคองตัวเองซะ ไม่ฟังคำพระที่มาสอนสั่งแบบนี้ ไม่เอาแล้วปะล่ะ นั่น มันเป็นอย่างงั้น
ความโลภเป็นอันตรายแก่ธรรมทั้งหลาย แก่ความเจริญทั้งหลาย เพิ่นถึงว่า
โลโภ ธัมมานัง ปะริปันโถ
โลภ อยากได้เป็นทรัพย์สมบัติ อยากได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน กับเขาบ้าง ก็เลยตัดสินใจปลงพระชนม์พระบิดา ด้วยการทรมาน ต่างๆ นานา ดังตำราว่าไว้นั้น อืม โอ้ แล้วมาเสียใจกันภายหลัง
คิดบ่ถี่ หวีบ่เกลี้ยง มันสิยุ่งเมื่อลุน(ภายหลัง)เด้อ
เพิ่นบอกไว้
คิดบ่ถี่ คิดให้ถี่ๆ หวีให้เกลี้ยงๆ เสียแล้ว
จึ่ง(จึง)ค่อยเดี่ยง(จัดแต่ง)พ่อเด้อ
โบราณเพิ่นบอกไว้ อย่าแต่ฟังคำยุ คำยุยง ส่งเสริมของผู้อื่น แล้วก็ทำลายพ่อแม่ของตัวเอง เป็นดังพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง อันนี้นี่พูดให้น้อยๆ ฟังแค่นี้ ผู้ใดอยากได้ทรัพย์สมบัติจากพ่อ จากแม่ หาวิธีการทำลายพ่อ ทำลายแม่ มาตาปิตุ... เป็น
มาตาปิตุฆาต
ฆ่าบิดามารดาตัวเอง โดยไม่มีความเมตตาปรานีใดๆ เลยเพราะอยากได้ราชสมบัติ อยากเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทน แทน พระบิดา อ้า พระเจ้าพิมพิสาร เพิ่นมียศถาบรรดาศักดิ์สูงขนาดไหน เป็นเพื่อนกันด้วยกับพระโคดม รู้จักกันดี ลาพระเจ้าพิมพิสารนั่น ออกบวชก็ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าพิมพิสาร ถ้าพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญู ขอให้ระลึกถึงโยมก่อนนะ ให้มาโปรดโยมก่อน อืม จึงค่อยไปโปรดผู้อื่น อันนี้ผูกใจไว้ จนได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณซะก่อน แล้วจึงค่อยจาริกย้อนกลับขึ้นมาหาพระเจ้าพิมพิสาร ไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ตามคำสั่ง อืมๆ ได้ดวงตาเห็นธรรมซะก่อนล่ะปะเนี่ย พระเจ้าพิมพิสารได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นซะก่อน เออ ก่อนตาย แต่พอตายแล้วจึงได้เห็น ฟังเทศน์ของพระบรมศาสดา เออ จึงได้ตรัสรู้ ได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันซะก่อน แล้วนี่มาถูกลูกทรมานตายเสียแล้ว ตายเสียแล้ว ตายในตะรางด้วย ถูกลูกขังในตะราง พระเจ้าพิมพิสารตาย สวรรคต ต้องอดอาหาร ไม่ได้กินข้าวปลาอาหารอะไรเลย มีแต่ทำความเพียรอย่างเดียว เดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาไม่เลิกไม่ละ ทำความเพียรอย่างเดียว ตายเป็นตายทำความเพียรนี่ดีกว่า เออ ไม่ต้องหวั่นไปแล้วเรื่องโลกธรรม นี่ผู้มีใจประเสริฐแล้ว ทำอย่างงั้นก็ไม่เสียหาย ได้ๆ ดวงตาเห็นธรรมแล้ว ได้เป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลขึ้นมาแล้ว ได้ถึงเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าเพิ่นเนี่ย เนี่ยก็ฟังเป็นวรรคเป็นตอนไป จำได้เป็นบางอย่าง
นี่พวกเรา บิดามารดาเป็นผู้เลี้ยงดูเรามา พาเราโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้นมา จนมีครอบมีครัวขนาดนี้ พ่อแม่ของเรายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ได้ตอบแทนบุญคุณของพ่อของแม่หรือเปล่า โอ้ มีลูกก็ดีอกดีใจ เวลาคลอดนั่นแทบล้มแทบตาย เออ ไปหาหมอ กลางวันกลางคืนไปหาหมอ คลอดลูกออกมาแล้วนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ซะก่อน ให้นึกถึงบุญคุณของท่าน ที่ประคบประหงม งมขี้ งมเยี่ยวเรา อดตาหลับ ขับตานอน ฟูมฟักรักษา ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม พ่อแม่เป็นหนี้พระคุณบุญเฮงใหญ่โต
แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่
กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเห ไปจนไกล
แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดแก่รักลูกปักดวงใจ
อืม ฟักฝา ฟักษา รักษา ฟูมฟักรักษา ไม่ให้อดอยากปากแห้ง ให้ได้กินอยู่ อิ่มหนำสำราญทุกอย่าง อดตาหลับ ขับตานอน เพราะการเลี้ยงลูกเนี่ย จน
ผ่ายผอมย่อมเกิดแก่รักลูกปักดวงใจ
เป็นอย่างงั้นน่ะ เพิ่นว่า
นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม
เราต้องระลึกนึกถึงท่านผู้ให้น้ำนมแก่เรา อดตาหลับ ขับตานอนแก่เรา ฟูมฟักรักษา ขี้มูกก็ไม่รังเกียจ น้ำลายก็ไม่รังเกียจ อึออกมาก็ไม่รังเกียจ เอามือล้วงไปเองก็ได้ เยี่ยวออกมาก็ไม่รังเกียจ เออ ฟูมฟักรักษาขนาดนั้น แล้วก็ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว ให้เราขนาดไหน นั่นบุญคุณของพ่อของแม่ มีอยู่ในตัวของเราทุกคน ทุกคนเป็นอย่างงี้ พ่อแม่เลี้ยงมาพาโต อย่าเข้าใจเรามาใหญ่มาแล้ว จะทำไปตามอำเภอใจของตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ พ่อแม่ห้ามอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ด่าพ่อ ด่าแม่ก็มี
บางคนยังมาบอก อืม เอ้ ความรู้ของพ่อของแม่ยังไม่ถึงเราหรอก อ้า เราได้ถึงปริญญาแล้ว เออ แม่ไม่ได้ปริญญาอะไรแล้วมาสอนเรา อะไรทำนองนี้ ปราม ห้ามปรามพ่อแม่ไว้ ไม่ให้สั่ง ไม่ให้สอน อืม มันก็มีน่ะคนคนอย่างนี้ก็มี ได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้เป็นเจ้าเป็นนาย มีงานมีการทำใหญ่โตมาแล้ว ส่วนมากจะดูถูกพ่อแม่ที่ฟูมฟักรักษา เลี้ยงมาตั้งแต่น้อยจนโต ได้เล่าเรียนศึกษาก็เพราะพ่อแม่เป็นคนส่งเสีย ให้ได้เล่าเรียนศึกษาสูงๆ ได้ปริญญาปริญเยอไป จนมีถมไป แต่ปะนั้นก็มาดุด่า ถกเถียงกับพ่อกับแม่ก็มี ชื่อว่า มีปัญญาเสียเปล่า ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ พ่อแม่ห้ามปรามเท่านั้นแหละ นี่ก็ไม่รู้จัก ว่าพ่อแม่ไม่รักตัว มาห้ามเรา ไม่ให้ทำอย่างงั้น ไม่ได้ทำอย่างนี้ ฆ่าตีบีฑ์โบ้ยไปต่างๆ นานา โอ้ ถ้าพ่อแม่ไม่รัก ถ้าพ่อแม่ไม่ห่วง ก็คงไม่ห้าม ไม่ปรามอะไรหรอก อันนี้ห้ามได้ ปรามได้ กลัวจะเป็นคนเสีย แต่ในที่สุดก็เสียไปจนได้ อย่างนี้ก็มี อืม พ่อแม่มีบุญคุณแก่เราขนาดไหน อดตาหลับ ขับตานอน เพราะเรายังน้อยยังอ่อน อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ หิวนมก็ร้องไห้ หิวข้าวก็ร้องไห้ นอนเปียกขี้ เปียกเยี่ยวตัวเองก็ไม่รู้ประสาช่วยตัวเองหรอก พ่อแม่สั่งสอน ฟูมฟักรักษาเอาจนใหญ่กล้าหน้าบานมา รักษาตัวรอดมา เราได้เป็นท้าว เป็นโพธิ์ขึ้นมา ใหญ่โตขนาดนี้ จนมาบวชขนาดนี้ เคยเถียงพ่อแม่บ้างไหม เออ แต่เคยเป็นน้อยเป็นหนุ่มมา เคยเถียงพ่อเถียงแม่ไหม เอาแตกเอาหักกันไหม โอ้ อย่าไปเถียงพ่อ เถียงแม่ขนาดนั้น ไม่ดีแล้ว เป็นลูกอกตัญญู ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เลี้ยงมาพาตัวใหญ่ จนมีครอบมีครัว จนมีหลักมีฐานขึ้นมาได้ เพราะพ่อแม่นั้นเลี้ยงดูอุ้มชู ฟูมฟักรักษา ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว อดตาหลับ ขับตานอน ทนทุกข์เพราะการเลี้ยงลูกมาเท่าไหร่เท่าไร เราเคยคิดไหม ให้คิด เราไม่เคยคิดก็ให้คิด ก่อนจะตายจากกันไป ก็ขอให้ตอบแทนบุญคุณของท่านเหล่านั้นซะก่อน เพราะท่านเป็นเทวดาของเรา เป็นพระพรหมของเรา เป็นเทวบุตรกึ่งหนึ่ง เทวดาเป็นพระพรหม มี
พรหมวิหารธรรม
เลี้ยงลูกสักวันถึงใหญ่โตมาได้ มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา จนตัวเราเองโตขึ้นมา พอรักษาตัวรอด พ่อแม่จึงวางใจได้ แน่ะช่วยตัวเองได้แล้ว หากินเป็นแล้ว ได้เล่าเรียนศึกษาไว้แล้ว เออ คงจะรู้จักบุญคุณของพ่อของแม่ โธ่ ยังตอบไม่ไหวหรอก พวกเรายังตอบไม่ไหว ตอบบุญคุณไม่ไหว บุญคุณอันฟูมฟักรักษา ตั้งแต่อยู่ในท้องมา ถ้าพ่อแม่ไม่เมตตาปรานีเรา เพิ่นอาจจะรีดเราออกซะก็ได้ กินยาบังคับออกซะก็ได้ หรือว่าเกิดมาแล้วไม่เอาใจใส่ ไม่ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว ให้เราจะเป็นยังไง ขี้มูกตันดัง(จมูก)มาจะทำยังไง หึ ใครจะแกะให้ ใครจะดูดออกให้ นั่น เออ มาเทียบกันพระเจ้าพิมพิสารเลี้ยงลูก โธ่ พวกเรายังห่างไกลจากพระเจ้าพิมพิสารมาก เนี่ยพระเจ้าพิมพิสารน่ะ ท่านเป็นคนมีธรรมสูงใหญ่โต เป็นพระเจ้าแผ่นดินอืม ในเมืองอะไร เมือง ภูเขาคิชฌกูฏเนี่ย นั่นแหละคนไม่รู้จักบุญคุณ ยอมทรมานพ่อ ทรมานแม่ตัวเอง อย่างหนัก อย่างหน่วง กระทบกระเทือน เถียงพ่อ เถียงแม่ ทำเอาบาปใส่ตัวเฉยๆ ว้า ทำให้แม่น้ำตาออก ทำให้แม่หัวตกอกหัก ทำเหล่านี้ก็ชื่อว่าย่ำยีหัวใจของพ่อของแม่ เออ ให้รู้จักไว้พวกเรา ใหญ่โตมาแล้ว เวลาท่านล่วงลับไปแล้ว เราจะนึกถึงทีหลัง เราจะตอบแทนท่านยังไงล่ะปะเนี่ย บวชให้พ่อให้แม่ก็ไม่เป็น เออ จำศีลภาวนาให้ ทำบุญให้ทานให้ เท่านั้นแหละ อืม ให้รีบตอบแทนบุญคุณท่าน ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ให้ท่านมีความสุขใจ ให้พ่อแม่มีความสุขใจ หวังพึ่งพาอาศัย ไม่ทอดทิ้ง ไม่นิ่งดูดาย เอาใจใส่ ฟูมฟักรักษาเวลาเจ็บป่วยไข้มา อ้า ให้เข้าใจอย่างงั้น เออ จึงจะตอบแทนบุญคุณของท่านได้
มันสายซะแล้วถึงรู้บุญคุณอย่างนี้ มันสายซะแล้วเราแก่แล้ว เราไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติอุปัฏฐากพ่อแม่ของตัวเอง ให้สมกับที่ท่านรักเรา ฟูมฟักรักษาเรา ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว ให้เรา หึหึ เช็ดขี้มูก ขี้หู ขี้ตาให้ แอ้ ก็พ่อแม่นั่นแหละเป็นคนประคบประหงมเรามา เราจึงใหญ่กล้าหน้าบาน มีเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา เออ มีลูกมีหลานขึ้นมาได้ ลำบากลำบนแค่ไหนก็คุ้ยเขี่ย เหมือนดังไก่เลี้ยงลูกมันแหละ คุ้ยเขี่ยมาเลี้ยงลูก ขอให้ได้เป็นพอน่ะ
บางทีอาจจะทำผิดศีล ผิดธรรมไปก็ได้ ได้ผิดศีล ผิดธรรมยังไง ไปขโมยขโจรเขามา เออ ไปฉก ไปลักสิ่งของเขามา เพื่อมาเลี้ยงลูกตัวเอง อย่างนี้ก็ชื่อว่าทำผิด
บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว เราเลี้ยงลูกด้วยสติปัญญา ความสามารถของตัวเอง เหนื่อยยากยังไงเราก็สู้ อดตาหลับ ขับตานอนอย่างไรเราก็สู้ สู้เอา สู้เอาเต็มที่ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากอะไรเลย นั่นจึงจะเป็นการตอบแทนบุญคุณ ของผู้มีพระคุณได้ เพิ่นเปรียบไว้ แม่เหมือนดังพระ พระพรหมของลูก มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา ได้เป็นบางครั้งบางคราว
พรหมวิหาร ๔
น่ะ เต็มบริบูรณ์ทีเดียวในตัวเรา ฟูมฟักรักษา บางทีท่านก็อาจจะด่าว่าเราบ้างอะไรบ้าง ธรรมดาล่ะ อ้า แล้วบวชเข้ามาจึงได้ยินคำเทศน์ของครูบาอาจารย์ ถึงอ่านหนังสือไม่ออก รู้จัก โอ้ พระพรหมของลูก เปรียบเหมือนดังพรหม เพราะว่ามีพรหมวิหาร มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีครบบริบูรณ์ในใจของแม่ของพ่อ เอาใจใส่ ฟูมฟักรักษาเรามา ด้วยความเหนื่อยยากลำบากขนาดไหน นั่นเรียกว่าพระพรหม พรหมวิหารมีในตัวเราแล้ว เราจะไปบวชกับเขา จำศีลภาวนากับเขา เราก็ เราได้รู้ เล่าเรียนศึกษามาแล้ว อันนี้ให้เอาใจใส่เป็นพิเศษ บิดามารดา เจ็บเป็นเอ็นอุ่น(การเจ็บไข้ได้ป่วย)ให้อยู่ใกล้ๆ ชิดติดต่อ ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ก็เลี้ยงดูท่านต่อ อ้า ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว แทนท่านตอบ ท่านเลี้ยงเรามาพาเราใหญ่ ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว ขี้มูก ขี้ดัง(จมูก) ขี้หู ขี้ตา ไม่ขี้เกียจเลย ขี้มูกปื๊ดป๊าดออกมากับมือด้วย เอากระดาษมาเช็ดเอา หรืออะไรเอา จึงค่อยกินข้าว กินปลาต่อไป
แม้เวลาทานอาหารกันอยู่ ลูกอึ ปื๊ดป๊าดออกมา ทำยังไง กลบไว้ก่อน เอาผ้า... กลบไว้ก่อน ปิดไว้ก่อนๆ กินข้าวอิ่มซะก่อน จึงค่อยไปจัดการล้างมัน อย่างงี้นะ พ่อแม่เลี้ยงเราอย่างงี้นะ ต๋บ(ซัก)ผ่า(ผ้า)ขี้ ตี่(แยก)ผ่า(ผ้า)เยี่ยว ให้เราอย่างนี้นะ แม้กินข้าวกินปลาอยู่ ก็ยังไม่เลิก กินข้าวยังไม่อิ่ม กินข้าวอิ่มซะก่อนจึงจะไปจัดการกับ อ้า เรื่องทำความสะอาดเหล่านี้ๆ ให้ ... เฮอะ อ้า ถ้าซักดีแล้ว สะอาดดีแล้ว เอาไปตากแดด ตากแดดแห้งแล้ว จึงค่อยมารีดให้หมดอะไรๆ ซะก่อน มดคัน มดคาย แมลง มะเริงอะไร ออกค่อยมารีด ถูไถซะก่อน ให้ลูกได้นุงได้ห่มผ้าที่สะอาดๆ อันนั้นแหละพ่อแม่ รักพวกเรามีเท่าไหร่ พรหมวิหาร นั่นว่ารวมมาอยู่กับพ่อกับแม่หมด เป็น
พรหมวิหารธรรม
มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา
ได้ทุกเมื่อ ต้องลูกเป็นหลักเป็นฐานซะก่อน จึงจะวางเฉยได้ เบาใจได้ โอ้ มันช่วยตัวเองได้แล้ว จึงค่อยวางใจได้ ถ้ายังช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ยังฟูมฟักรักษามาตลอด จนว่าเป็นหนุ่มเป็นสาว ไม่ฟังคำพ่อคำแม่
นิทานเรื่องหนึ่งที่ผ่านมา เออ ยายคนหนึ่ง ลูกไปติดยาเสพติดให้โทษ กิน กินดินเกลือ กินอะไรอ่ะ ไปติดดินเกลือ ไปติดอะไรล่ะ จนจะปล่อยลูกทิ้งไปหมด ลูกทั้งหลายเห็นแม่ตามหาลูก คนที่เขาจับไปติดคุก ติดตะรางต่างเมือง เพราะมันไปกินดินเกลือ ไปกินดินอะไร มันติดยา ดินกับอะไร ไปกินแล้วมันติดเลย กินเกลือ กินดิน ดินเกลือ ดินอะไรนั่นแล้ว เพิ่นก็ทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ไปเลย หนีไปเลย อยู่บ้านพ่อห้าม แม่ห้าม ไม่ให้ไปกินอย่างงี้ เหล่าอย่างงี้ หนีจากพ่อ จากแม่ไปเลย ไปติดคุก ติดตะรางอยู่เมืองอื่นนู้น แม่ก็เสียสละตามหาลูก จนไปพบลูกจริงๆ เข้า โอ้ อยู่เมืองอื่นโน้น
หนีจากบ้านจากเมือง เพราะว่าติด ติด ฝิ่น มีเฮโรอีน กัญชา ยาบ้า หรือยาเสพติดให้โทษ หนีจากพ่อ จากแม่ไปเลย เพราะมันติด ติดยาชนิดนั้น ยาเสพติดให้โทษ มันยังว่า เพราะฉะนั้น พวกเรามีพ่อ มีแม่ก็บุญเหลือหลาย เออ ยิ่งได้เอาลูกเข้ามาบวชในศาสนาซะอีก ได้เป็นพระเป็นเจ้า มีศีล มีธรรมดี ได้มากราบ ได้มาไหว้ ได้มาทำบุญให้ทาน เลี้ยงลูกต่อไปอีก เลี้ยงลูก เลี้ยงหลานต่อไปอีก อ้า ไอ้เราก็บุญเหลือหลาย พวกเราทั้งหลายเอย อ้า ให้คิดถึงบุญคุณของผู้มีพระคุณเด้อ
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง
ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
เพิ่นยังว่าในมงคลไว้ อันนี้เป็นมงคลชีวิต ได้เลี้ยงบิดามารดาต่อ ทำงานแทนเพิ่นได้ต่อ หาเงินหาทองมาให้พ่อแม่ได้ใช้ต่อ เออ ตอบบุญแทนคุณ ตอบเท่าไหร่ แทนเท่าไหร่ ไม่คุ้มหรอก มากเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะให้พ่อกับแม่ ได้เป็นพระอรหันต์ซะก่อน จึงจะตอบบุญแทนคุณท่านหมด พ่อกับแม่ไปเป็นยังไง ศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม ศีล ๘ ได้จำบริสุทธิ์ไหม สมบูรณ์ไหม เออ นั่งสมาธิภาวนา เป็นหรือเปล่าพ่อกับแม่ นั่งสมาธิภาวนาใจรวมหรือเปล่า เออ ก็ยังไม่รวมอยู่ เอาใหม่อยู่อย่างงั้นแหละ เอาใหม่ตอบแทนบุญคุณของพ่อของแม่ นั่งสมาธิภาวนา ตอบบุญแทนคุณของพ่อของแม่ นี่จึงว่าไม่เลี้ยงลูกเสียที เลี้ยงลูกมาได้เป็นครู เป็นอาจารย์ ได้เป็นแม่ขาว แม่ชี ได้ฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนา ใจสงบ เยือกเย็น เป็นสมาธิซะก่อน แล้วก็ได้ความสุขซะก่อน เกิดเป็นความวิเวกขึ้นมาซะก่อน จึงจะตอบบุญแทนคุณของพ่อของแม่ได้ ถ้ายังไม่สงบอยู่เอาให้มันสงบ อ่ะ เฮอะ เออ
มีนิทานตัวอย่างหลายๆ เรื่อง หลายๆ ราว เออ เอาจนได้ดิบได้ดี พอตัดกิเลสตาย คายกิเลสหลุด ถึงวิมุตติ มรรคผล นิพพาน อยู่ใน เป็นพระโสดาบันบุคคล เป็นพระสกิทา(คามี) พระอนาคา(มี)ขึ้นมา ได้ดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาซะก่อน จึงจะตอบบุญแทนคุณของท่านได้
ดังบรรยายมาเป็น ปกิณณกะ มีหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อต้องการให้ท่านผู้ฟัง นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาด้วยปัญญาอันชาญฉลาดของตนๆ เองเถิด อัปปมาทธรรม ไม่มีความประมาท ตั้งอกตั้งใจจะตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณดังกล่าวแล้ว ด้วยความไม่ประมาท ต่อแต่นั้นก็จะได้ประสบพบเห็นแต่ความสุขความเจริญทั้งทางคดีโลกและทางคดีธรรมทุกประการ รับประทานฝอยมา หรือวิสัชนามา ก็ยุติโดยเวลา ฮ่ะฮ่ะ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
กัมมัง วิชชา จะ ธัมโม จะ สีลัง ชีวิตะมุตตะมัง
การงาน ๑ วิชา ๑ ธรรม ๑ ศีล ๑ ชีวิตอันอุดม ๑
โลโภ ธัมมานัง ปะริปันโถ
ความโลภเป็นอันตรายต่อธรรมทั้งหลาย
พรหมวิหาร ๔ (ธรรมเครื่องอยู่อย่างประเสริฐ)
เมตตา(ปรารถนาดี ให้มีสุข) กรุณา(สงสาร ให้พ้นทุกข์)
มุทิตา(ยินดี เมื่อผู้อื่นมีสุข) อุเบกขา(วางใจ เป็นกลาง)
มังคะละสูตร (มงคล ๓๘)
มาตาปิตุอุปัฏฐานัง
การบำรุงมารดาและบิดา ๑
ปุตตะทารัสสะ สังคะโห
การสงเคราะห์บุตร ๑ ภรรยา ๑
บีฑา [บี-ทา] เบียดเบียน บีบคั้น รบกวน เจ็บปวด
(ฆ่าตีบีฑ์โบย)
อนันตริยกรรม
กรรมหนัก กรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด
ตัดทางสวรรค์ ตัดทางนิพพาน
กรรมที่ให้ผล คือ ความเดือดร้อนไม่เว้นระยะเลย
มี ๕ อย่าง คือ
๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึง
ยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป
๕. สังฆเภท ทำสงฆ์ให้แตกกัน
ผู้ทำอนันตริยกรรมจะต้องตกนรก
ลงไปยังขุมนรกที่ลึกที่สุด คือ มหาขุมนรกอเวจี
เพลงค่าน้ำนม
ทำนอง/คำร้อง ไพบูลย์ บุตรขัน
(ได้รับขนานนาม อัจฉริยะนักแต่งเพลงอันดับ ๑ ของไทย)
ขับร้อง ชาญ เย็นแข
แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง
ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่
กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเห ไปจนไกล
เมื่อเล็กจนโตโอ้แม่ถนอม
แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
เติบ โตโอ้เล็กจนใหญ่
นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม
ควร คิดพินิจให้ดี
ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม
โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม
เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน
ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝัง
แต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน
บวช เรียนพากเพียรจนสิ้น
หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย
๕๖